บทความพิเศษ : มือถือไทย ... อดีต ปัจจุบัน กับพัฒนาการสู่อนาคต
โดย อ.ไพโรจน์ ไววานิชกิจ
นับถึงปัจจุบัน ทุกคนคงยอมรับว่าการสื่อสารแบบไร้สายกลายเป็นปัจจัยสำคัญประการหนึ่งต่อการดำรงชีวิตของเรา
ๆ ท่าน ๆ ไปแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่หรือที่นิยมเรียกกันว่าโทรศัพท์มือถือ
ซึ่งมีการเติบโตและแพร่ขยายไปอย่างกว้างขวาง ในโอกาสที่ผู้เขียนได้รับการชักชวนจากกองบรรณาธิการนิตยสารอินเตอร์แมกาซีน
ให้ทำหน้าที่นำเสนอบทความพิเศษเกี่ยวกับเทคโนโลยีโทรศัพท์มือถือ
จึงขอนำเสนอภาพโดยทั่วไปเกี่ยวกับเทคโนโลยีสื่อสารแบบไร้สายประเภทนี้
เริ่มต้นจากอดีต สู่ปัจจุบัน และต่อเนื่องไปยังอนาคตอันใกล้ เพื่อเป็นการสร้างความเข้าใจร่วมกันกับผู้อ่าน
โดยท่านสามารถส่งอีเมลถึงผู้เขียนโดยตรงได้ที่ wpairoj@chula.com
- รายละเอียดเนื้อหาโดยหัวข้อ :
- สภาวะการแข่งขันในธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่
- การเติบโตของตลาดโทรศัพท์เคลื่อนที่ไทย
- เส้นทางสู่ยุค 3G ของเครือข่าย 2G ทั่วโลก
- Mobile Data : คลื่นร้อนของธุรกิจสื่อสารไร้สาย
(ต่อหน้า 2)
- EDGE ทางออกสำหรับการก้าวสู่ยุค 3G
- แนวทางการให้บริการเทคโนโลยี EDGE
- วิเคราะห์อนาคตเทคโนโลยี EDGE ในประเทศไทย
สภาวะการแข่งขันในธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่
ที่กรมไปรษณีย์โทรเลขได้อนุมัติคลื่นความถี่วิทยุให้องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย
(ทศท.) ซึ่งก็คือบริษัท ทศท. คอร์ปอเรชั่นจำกัด (มหาชน) ในปัจจุบัน
เพื่อดำเนินธุรกิจการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบ NMT
(Nordic Mobile Telephone) ความถี่ 470 เมกกะเฮิตรซ์
เมื่อเดือนกันยายน พ.ศ.2529 ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่ในประเทศไทยก็ได้เจริญเติบโตขึ้นมาตามลำดับ
จวบจนกระทั่งในปัจจุบัน มีผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่มากกว่า
20 ล้านเลขหมาย โดยมีบริษัทผู้ให้บริการหลายรายแบ่งสัดส่วนทางการตลาดที่แตกต่างกัน
ทั้งนี้ในช่วงแรกการดำเนินธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่ในประเทศไทยนั้นมีผู้ให้บริการเพียงสองราย
คือ ทศท. และการสื่อสารแห่งประเทศไทย (กสท.) หรือบริษัท กสท. โทรคมนาคม
จำกัด (มหาชน) ในปัจจุบัน แต่เนื่องจากข้อจำกัดในเรื่องของงบประมาณ
การขาดความชำนาญในการดำเนินนโยบายทางการตลาดของรัฐวิสาหกิจทั้งสองแห่งรวมถึงเครื่องลูกข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ในยุคแรก
ๆ ที่มีราคาแพง ทั้งสองหน่วยงานจึงตัดสินใจเปิดให้เอกชนเข้าประมูลสิทธิการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ภายใต้การดูแลของตน
ในลักษณะการดำเนินการแบบ BTO (Build-Transfer-Operate)
ซึ่งหมายถึงเอกชนเป็นผู้ลงทุนสร้างเครือข่ายพร้อมกับโอนกรรมสิทธิอุปกรณ์เครือข่ายเหล่านั้นให้แก่หน่วยงานเจ้าของสัมปทาน
โดยรัฐให้สิทธิเอกชนในการดำเนินกิจการเป็นระยะเวลาช่วงหนึ่ง ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
อุตสาหกรรมโทรศัพท์เคลื่อนที่ในประเทศไทยก็ได้มีการขยายตัวอย่างรวดเร็วและต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน
ระบบเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่มีรูปแบบการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง
เริ่มจากระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่ชนิดอนาล็อคมาสู่ระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่ชนิดดิจิตอล
ซึ่งในปัจจุบันผู้ให้บริการในประเทศไทยมีการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ทั้งสองระบบ
โดยจำนวนผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบดิจิตอลนั้นมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ในขณะที่สัดส่วนผู้ใช้ระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่ชนิดอนาล็อคมีแนวโน้มที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง
ของตลาดโทรศัพท์เคลื่อนที่ในประเทศ
นับถึงปัจจุบัน ซึ่งประเทศไทยถือได้ว่าเป็นประเทศที่มีความหลากหลายในแง่ของเทคโนโลยีเครือข่าย
ให้ผู้บริโภคได้เลือกใช้งานกันอย่างกว้างขวาง ผู้ประกอบการโทรศัพท์เคลื่อนที่ในประเทศไทยเองก็มีอยู่หลายราย
แต่ละรายมีความแข็งแกร่งและส่วนแบ่งทางการตลาด (Market Share) ที่แตกต่าง
หากจะกล่าวสรุปอย่างรวบรัดถึงรายละเอียดของบริษัทผู้ให้บริการเครือข่ายที่มีอยู่ทั้งหมด
รวมถึงเทคโนโลยีเครือข่าย และเครื่องหมายการค้า ก็สามารถสรุปได้ดังนี้
:
1. บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส
จำกัด (มหาชน) หรือ AIS
มีบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ GSM (Global System for Mobile Communication)
ระบบความถี่ 900 เมกกะเฮิตรซ์ ซึ่งแบ่งออกเป็นแบบชำระค่าบริการต่อเดือน
(Postpaid) ภายใต้เครื่องหมายการค้า GSM Advance กับแบบโทรศัพท์พร้อมใช้
(Prepaid) ภายใต้เครื่องหมายการค้า One-2-Call และระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่
1800 เมกกะเฮิตรซ์ ซึ่งมีแต่แบบชำระค่าบริการต่อเดือนภายใต้เครื่องหมายการค้า
GSM1800 นอกจากนั้น AIS ยังเป็นผู้นำทางด้านเทคโนโลยีการสื่อสารข้อมูล
โดยมีการเปิดให้บริการ GPRS (Generic Packet Radio Service) ในกรุงเทพมหานครและเมืองใหญ่
ๆ, บริการ MMS (Multimedia Messaging Service) และบริการ TV on Mobile
เป็นการตอกย้ำจุดยืนความเป็นผู้นำทางด้านเทคโนโลยีอย่างชัดเจน
นอกจากนี้ AIS ยังมีการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบอนาล็อคระบบ
NMT (Nordic Mobile Telephone) ความถี่ 900 เมกกะเฮิตรซ์ ภายใต้เครื่องหมายการค้า
Cellular 900 แต่ปัจจุบัน บริษัทฯ มีนโยบายลดจำนวนผู้ใช้บริการในกลุ่มนี้ลง
โดยส่งเสริมให้มีการโอนเลขหมายไปเป็นลูกค้าโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบ
GSM ของตนเองแทน
2. บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น
จำกัด (มหาชน) หรือ DTAC
เปิดให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบ GSM ความถี่ 1800 เมกกะเฮิตรซ์
ซึ่งแบ่งเป็นแบบชำระค่าบริการต่อเดือนภายใต้เครื่องหมายการค่า DTAC
ร่วมกับโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบพร้อมใช้ ภายใต้เครื่องหมายการค้า Dprompt
สำหรับ DTAC นั้นได้ชื่อว่าเป็นผู้นำทางการตลาดเป็นอันดับที่สองรองจาก
AIS มาโดยตลอด ปัจจุบัน DTAC ก็มีการนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ ไม่ว่าจะเป็น
GPRS หรือ MMS มาเปิดให้บริการ ทัดเทียมกับค่าย AIS แต่อาจมีการประชาสัมพันธ์ที่แผ่วเบากว่าคู่แข่งขันของตนมาก
DTAC มีบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบอนาล็อคเช่นเดียวกัน เป็นระบบ
AMPS (Advanced Mobile Phone Service) ความถี่ 800 เมกกะเฮิตรซ์
ซึ่งนโยบายในการเปลี่ยนถ่ายผู้ใช้บริการให้ไปใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่
GSM ของ DTAC ก็เป็นไปในลักษณะเดียวกันกับกรณีระบบ NMT 900 ของค่าย
AIS
3. บริษัท ทีเอ ออเรนจ์ จำกัด หรือ
ORANGE
ถือเป็นบริษัทน้องใหม่ไฟแรง ที่สร้างฐานผู้ใช้บริการได้อย่างรวดเร็ว
ทีเออเรนจ์ หรือ TAO ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ในระบบ GSM ความถี่
1800 เมกกะเฮิตรซ์ เช่นเดียวกับ DTAC เพียงแต่ใช้ย่านความถี่ต่างช่วงกัน
มีบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ทั้งแบบชำระค่าบริการต่อเดือนและแบบโทรศัพท์เคลื่อนที่พร้อมใช้
ภายใต้ชื่อเครื่องหมายการค้า Just Talk ปัจจุบัน TAO ยังไม่มีพื้นที่ให้บริการครอบคลุมทั่วประเทศไทย
แต่กำลังอยู่ระหว่างการเร่งขยายเครือข่ายเพื่อให้ครอบคลุมพื้นที่ใช้งานเทียบเท่ากับ
AIS และ DTAC ในระหว่างนี้ผู้ใช้บริการของค่าย TAO จึงอาจไม่สามารถใช้งานโทรศัพท์เคลื่อนที่ได้ในบางพื้นที่ที่ยังไม่มีการติดตั้งเครือข่ายสถานีฐาน
4. กิจการร่วมค้าไทยโมบาย หรือ THAIMOBILE
เกิดขึ้นภายใต้กรอบความร่วมมือระหว่าง บริษัท ทศท คอร์ปอเรชั่น จำกัด
(มหาชน) กับการสื่อสารแห่งประเทศไทย ไทยโมบายเพิ่งเปิดให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่
GSM ความถี่ 1900 เมกกะเฮิตรซ์ เมื่อช่วงปลายปี พ.ศ. 2545 ที่ผ่านมา
ไทยโมบายมีเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่เฉพาะในเขตกรุงเทพมหานคร โดยสามารถรองรับผู้ใช้บริการในระยะเริ่มต้นได้
300,000 เลขหมาย สำหรับการนำเครื่องลูกข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ซึ่งต้องเป็นแบบ
Triple Band หรือรองรับการใช้งานทั้งคลื่นความถี่ 900, 1800 และ
1900 เมกกะเฮิตรซ์ ไปใช้งานยังต่างจังหวัดนั้น สามารถกระทำได้ โดยไทยโมบายมีการทำสัญญาใช้งานข้ามเครือข่าย
หรือ Domestic Roaming กับค่าย AIS
5. บริษัท ฮัทชิสัน ซีเอที ไวร์เลส
จำกัด หรือ HUTCH
เป็นน้องใหม่ล่าสุดที่เพิ่งเปิดให้บริการเมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์
พ.ศ. 2546 ที่ผ่านมา ภายใต้ชื่อเครื่องหมายการค้า HUTCH โดยใช้เทคโนโลยีโทรศัพท์เคลื่อนที่
CDMA (Code Division Multiple Access) ความถี่ 800 เมกกะเฮิตรซ์
จุดมุ่งหมายหลักในการเปิดให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ของ HUTCH ก็คือ
การให้บริการสื่อสารข้อมูลผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่ซึ่งมีคุณภาพและประสิทธิภาพในการใช้งาน
เหนือกว่าการสื่อสารข้อมูลผ่านเทคโนโลยี GPRS ของระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่ในตระกูล
GSM สำหรับการให้บริการสนทนาเสียงนั้นก็มีคุณภาพที่ไม่แตกต่างไปจากระบบ
GSM แต่อย่างใด ข้อจำกัดในการให้บริการของ HUCTH ก็คือการได้รับสัมปทานในการเปิดให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่
CDMA ในพื้นที่เพียง 23 จังหวัดเท่านั้น (รวมกรุงเทพมหานครและปริมณฑล)
ทำให้เกิดข้อจำกัดหลาย ๆ ประการในการแข่งขัน เมื่อเทียบกับคู่แข่งขันรายอื่นที่ไม่มีข้อจำกัดในเรื่องพื้นที่สัมปทานให้บริการแต่ประการใด
เมื่อทราบถึงข้อมูลคร่าว ๆ เกี่ยวกับผู้ให้บริการทั้งหมดในประเทศไทยแล้ว
ผู้เขียนก็จะขอกล่าวถึงภาพแห่งความเป็นจริงของธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่อย่างละเอียดเป็นอันดับถัดไป
กลับขึ้นด้านบน - TOP
การเติบโตของตลาดโทรศัพท์เคลื่อนที่ไทย
ของยอดจดทะเบียนโทรศัพท์เคลื่อนที่ในประเทศไทย
โดยคิดรวมกันจากทุกระบบ พบว่ามีการขยายตัวอย่างรุนแรงนับตั้งแต่ปี
พ.ศ. 2543 เป็นต้นมา ซึ่งผู้อ่านสามารถพิจารณาได้จาก รูปที่
1 โดยอัตราการเติบโตของจำนวนเลขหมายจดทะเบียนในปี พ.ศ.
2543 เทียบกับปีก่อนหน้ามีค่าถึงร้อยละ 46.2 และมียอดจดทะเบียนสิ้นปีประมาณ
3.6 ล้านเลขหมาย ซึ่งแม้จะเป็นการเติบโตที่สูงอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนในแวดวงโทรศัพท์เคลื่อนที่
แต่ก็ไม่สามารถเทียบได้กับอัตราการเติบโตในปี พ.ศ. 2544 ที่สูงขึ้นเป็นร้อยละ
118.4 ทำให้ยอดรวมเลขหมายโทรศัพท์เคลื่อนที่ทั้งประเทศเพิ่มขึ้นเป็น
7.9 ล้านเลขหมาย
การเติบโตของเลขหมายโทรศัพท์เคลื่อนที่ในปี พ.ศ. 2545 กลับมีความรุนแรงมากยิ่งกว่า
โดยข้อมูล ณ วันที่ 30 กันยายน 2545 พบว่ายอดรวมเลขหมายโทรศัพท์เคลื่อนที่ทั่วประเทศพุ่งสูงขึ้งถึง
15.7 ล้านเลขหมาย คิดเป็นอัตราการเติบโตเท่ากับร้อยละ 97.9 ซึ่งหากประเมินยอดจดทะเบียนถึงสิ้นปี
พ.ศ. 2545 แล้ว ก็สามารถกล่าวได้ว่าปี พ.ศ. 2545 ถือเป็นปีทองของธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่
และสำนักวิจัยหลาย ๆ ฝ่ายก็เชื่อกันว่า น่าจะเป็นปีสุดท้ายที่จะได้เห็นการเติบโตอย่างรวดเร็วของเลขหมายโทรศัพท์เคลื่อนที่
เนื่องจากจำนวนผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ทั่วประเทศเริ่มเข้าใกล้จุดอิ่มตัวมากขึ้น
ดังที่ผู้เขียนจะได้กล่าวถึงในภายหลัง
รูปที่ 1 อัตราการเติบโตของจำนวนเลขหมายโทรศัพท์เคลื่อนที่ในประเทศไทย
การเติบโตของเลขหมายโทรศัพท์เคลื่อนที่ในปี พ.ศ. 2545 กลับมีความรุนแรงมากยิ่งกว่า
โดยข้อมูล ณ วันที่ 30 กันยายน 2545 พบว่ายอดรวมเลขหมายโทรศัพท์เคลื่อนที่ทั่วประเทศพุ่งสูงขึ้งถึง
15.7 ล้านเลขหมาย คิดเป็นอัตราการเติบโตเท่ากับร้อยละ 97.9 ซึ่งหากประเมินยอดจดทะเบียนถึงสิ้นปี
พ.ศ. 2545 แล้ว ก็สามารถกล่าวได้ว่าปี พ.ศ. 2545 ถือเป็นปีทองของธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่
และสำนักวิจัยหลาย ๆ ฝ่ายก็เชื่อกันว่า น่าจะเป็นปีสุดท้ายที่จะได้เห็นการเติบโตอย่างรวดเร็วของเลขหมายโทรศัพท์เคลื่อนที่
เนื่องจากจำนวนผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ทั่วประเทศเริ่มเข้าใกล้จุดอิ่มตัวมากขึ้น
ดังที่ผู้เขียนจะได้กล่าวถึงในภายหลัง
อนึ่ง ความหมายของจำนวนเลขหมายโทรศัพท์เคลื่อนที่นั้น จะหมายถึงจำนวนเลขหมายสุทธิที่เกิดจากการขายเลขหมายใหม่
หักจำนวนเลขหมายที่ถูกยกเลิก ดังนั้นตัวเลขดังกล่าวจึงสามารถนำไปสะท้อนถึงจำนวนผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ทั้งหมดในประเทศไทยได้คร่าว
ๆ โดยอาจจะมีค่ามากกว่าจำนวนผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ทั้งหมด
หากคิดว่ามีผู้ใช้บริการหลายรายถือครองโทรศัพท์เคลื่อนที่มากกว่า
1 เลขหมาย
รูปที่ 2 เป็นวิวัฒนาการการเติบโตของเลขหมายโทรศัพท์เคลื่อนที่พร้อมใช้ในประเทศไทย
นับตั้งแต่เมื่อเริ่มมีการเปิดให้บริการโดยค่าย AIS (One-2-Call)
และ DTAC (Dprompt) ในเดือนตุลาคม 2542 เป็นต้นมา ผู้อ่านจะสังเกตเห็นว่าในช่วง
1 ปีเศษ ๆ นับตั้งแต่เริ่มต้นเปิดให้บริการ อัตราการเติบโตของผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่พร้อมใช้เป็นไปอย่างเชื่องช้า
สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการลองผิดลองถูกของบริษัทผู้ให้บริการ ที่พยายามกำหนดตำแหน่งทางการตลาด
(Market Positioning) ให้กับบริการดังกล่าว แต่สาเหตุสำคัญที่แท้จริงก็เนื่องมาจากการขาดแคลนเลขหมายโทรศัพท์เคลื่อนที่ในช่วงเวลาดังกล่าว
ซึ่งผู้อ่านคงจำกันได้ว่าแต่เดิมเลขหมายโทรศัพท์เคลื่อนที่ถูกกำหนดให้อยู่ภายใต้หมวดเลข
01- ทำให้เกิดปัญหาเลขหมายถูกจำหน่ายหมดและเริ่มจะไม่มีเลขหมายให้จำหน่ายกัน
โทรศัพท์เคลื่อนที่แบบพร้อมใช้จึงถูกคุมกำเนิดด้วยข้อจำกัดในเรื่องของเลขหมายโดยปริยาย
รูปที่ 2 การเติบโตของเลขหมายโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบพร้อมใช้
(Prepaid)
และสัดส่วนเมื่อเปรียบเทียบกับโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบใช้ก่อนจ่าย
(Postpaid)
จนกระทั่งเมื่อมีการแก้ไขปัญหาเลขหมายไม่เพียงพอ โดยองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย
ประกาศให้โทรศัพท์ทุกระบบในประเทศไทย ใช้เลขหมายแบบ 9 หลัก ในเดือนกรกฎาคม
พ.ศ. 2544 จึงทำให้มีการจัดสรรเลขหมายโทรศัพท์เคลื่อนที่หมวดหมู่ใหม่
ๆ ไม่ว่าจะเป็น 09-, 06- ฯลฯ เพิ่มเติมขึ้นมา ทำให้ปัญหาเรื่องเลขหมายขาดแคลนหมดไปในทันที
ประกอบกับบรรดาผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่สามารถวางตำแหน่งทางการตลาดที่ชัดเจน
ให้กับบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่พร้อมใช้ได้อย่างเหมาะสม จึงทำให้กระแสการยอมรับใช้งานโทรศัพท์เคลื่อนที่ใช้พุ่งสูงขึ้น
โดยยอดรวมเลขหมายโทรศัพท์เคลื่อนที่พร้อมใช้ทั่วประเทศพุ่งทะลุ 1.8
ล้านเลขหมายภายในช่วงสิ้นไตรมาสที่ 3 ของ พ.ศ. 2544 นั้นเอง และหลังจากนั้น
การเติบโตของจำนวนเลขหมายโทรศัพท์เคลื่อนที่พร้อมใช้ก็เป็นไปอย่างก้าวกระโดดโดยไม่มีไตรมาสใดที่ยอดจดทะเบียนใหม่จะต่ำกว่า
1 ล้านเลขหมายอีกเลย
สิ่งที่ควรจดจำก็คือ จำนวนเลขหมายโทรศัพท์เคลื่อนที่พร้อมใช้ทั่วประเทศเติบโตจนเท่ากับเลขหมายโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบชำระค่าบริการต่อเดือนในไตรมาสที่
1 ของปี พ.ศ. 2545 และยอดรวมของเลขหมายโทรศัพท์เคลื่อนที่พร้อมใช้ทุกระบบทั่วประเทศไทยเมื่อวันที่
30 กันยายน 2545 เท่ากับ 11,187 ล้านเลขหมาย คิดเป็นสัดส่วนเมื่อเทียบกับจำนวนผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบชำระค่าบริการต่อเดือนเท่ากับร้อยละ
250 หรือมากกว่าถึง 2.5 เท่า ซึ่งถือว่าเป็นการเติบโตที่รวดเร็วมาก
กระแสการตื่นตัวสนใจเทคโนโลยีโทรศัพท์เคลื่อนที่ยุคที่ 3 หรือ
3G (Third Generation Mobile) ซึ่งก่อตัวขึ้นมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2544
ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน เริ่มมีทีท่าว่าจะแผ่วลงด้วยเหตุผลหลาย ๆ ประการ
ที่สำคัญที่สุดน่าจะมาจากคำถามในใจของบรรดาผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ทั่วโลกว่า
การลงทุนสร้างเครือข่าย 3G ด้วยเงินลงทุนจำนวนมหาศาลนั้น จะให้ผลตอบแทนในการลงทุนที่คุ้มค่าจริงหรือ
ทั้งนี้เพราะการเปิดให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ 3G นั้น ผู้ให้บริการย่อมต้องมั่นใจว่ารายได้จากการสื่อสารข้อมูล
(Data Communication) ซึ่งถือเป็นบริการเป้าหมายหลักของโทรศัพท์เคลื่อนที่
3G นั้นมีอยู่จริง และมีอยู่มากพอที่จะผลักดันให้เกิดรายได้มหาศาล
ชดเชยกับเงินลงทุนก้อนใหญ่ที่ลงไปกับอุปกรณ์เครือข่าย และการประมูลเพื่อขอใช้สิทธิ์คลื่นความถี่วิทยุในแต่ละประเทศ
กลับขึ้นด้านบน - TOP
เส้นทางสู่ยุค 3G ของเครือข่าย 2G ทั่วโลก
เป็นก้าวกระโดดที่สำคัญของอุตสาหกรรมสื่อสารโทรคมนาคมไร้สาย
เนื่องจากเป็นการพัฒนาเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่มีอยู่ในปัจจุบัน
ซึ่งส่วนใหญ่เป็นระบบ GSM และ CDMA ให้มีขีดความสามารถในการรับส่งข้อมูลที่มิใช่เสียงพูด
(Non-voice) สูงมากขึ้น โดยสิ่งที่ผู้คนทั่วไปรับทราบกันดีก็คือ
การพัฒนาเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ยุค 2G ให้กลายเป็นเครือข่ายยุค
2.5G ซึ่งในกรณีของเครือข่าย GSM ก็คือการเพิ่มขีดความให้เป็นเครือข่าย
GPRS (Generic Packet Radio Service) ซึ่งเมื่อให้บริการกับเครื่องลูกข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่สามารถรองรับเทคโนโลยี
GPRS ด้วยกันได้แล้ว ก็จะช่วยสร้างรายได้จากการบริโภคข้อมูลประเภทต่าง
ๆ ให้กับบริษัทผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่
อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีโทรศัพท์เคลื่อนที่ยุค 2.5G ไม่ว่าจะเป็นของค่ายใดนั้น
ล้วนแล้วแต่มีแนวความคิดพื้นฐานในการพัฒนาเครือข่าย 2G เดิม โดยเน้นให้ต้นทุนในการพัฒนาต่ำที่สุด
กล่าวคือ โดยส่วนใหญ่จะเป็นการพัฒนาปรับเปลี่ยนการทำงานของอุปกรณ์เครือข่ายโดยใช้ซอฟท์แวร์
และอาจต้องเพิ่มอุปกรณ์แพ็กเกตสวิทชิ่งเข้ามา เพื่อแยกเส้นทางในการลำเลียงข้อมูลเสียงพูด
(Circuit Switching) ออกจากเส้นทางในการลำเลียงข้อมูล (Packet Switching)
ซึ่งหากจะพิจารณาเป็นตัวเงินในการลงทุนแล้ว ย่อมต้องถือว่าค่อนข้างต่ำมาก
การพัฒนาเครือข่าย 2G ไปเป็น 2.5G จึงเป็นสิ่งที่ไม่อยู่เหนือบ่ากว่าแรงของบรรดาผู้ให้บริการเครือข่ายแต่อย่างใด
แต่สิ่งที่ผู้ให้บริการทั้งหลายต้องยอมรับก็คือ ข้อจำกัดของขีดความสามารถในการรับส่งข้อมูล
ซึ่งเกิดจากข้อจำกัดทางกายภาพของเครือข่าย 2G ที่เป็นเครือข่ายพื้นฐานให้กับ
GPRS
เทคโนโลยี 3G จึงเป็นสิ่งที่ผู้ให้บริการเครือข่ายแต่ละรายให้ความสนใจจับตามองเป็นอันดับต่อไป
ด้วยความคาดหวังว่าจะสามารถเพิ่มศักยภาพในการสื่อสารข้อมูลที่รวดเร็วยิ่งขึ้น
และสามารถตอบสนองความต้องการของผู้ใช้บริการ ด้วยการสร้างบริการแบบ
Non-voice ประเภทใหม่ ๆ ซึ่งอาจก้าวไปถึงขั้นของการเสนอแอปพลิเคชั่นแบบมัลติมีเดีย
โดยผ่านทางเครื่องลูกข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่หรืออุปกรณ์สื่อสารไร้สายในรูปแบบอื่น
ๆ ที่รองรับเทคโนโลยี 3G นั้นได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาถึงความแตกต่างกันของเทคโนโลยีโทรศัพท์เคลื่อนที่ยุคที่
2 ซึ่งมีการเปิดให้บริการใช้งานทั่วโลกในปัจจุบัน จะพบมาตรฐานหลัก
ๆ 4 ระบบ ที่มีการลงทุนสร้างเครือข่ายขึ้นเพื่อให้บริการในแต่ละทวีปทั่วโลก
แนวทางในการพัฒนาเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ 2G เหล่านี้ไปสู่ยุค
3G ล้วนมีความแตกต่างกันในรายละเอียดทางเทคนิค โดยพอที่จะกล่าวสรุปตาม
รูปที่ 3 ได้ดังนี้
รูปที่ 3 แนวทางในการพัฒนาเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ยุค
2G ไปสู่มาตรฐานยุค 3G
- มาตรฐานเครือข่าย GSM : มีแนวทางการพัฒนาที่ชัดเจน
โดยผู้ให้บริการสามารถเพิ่มความสามารถของเทคโนโลยี GPRS เพื่อทดสอบการตอบรับของผู้ใช้บริการได้ก่อน
บางรายอาจมีการเปิดให้บริการเทคโนโลยี HSCSD (High Speed Circuit
Switched Data) ก่อนจะเปิดใช้บริการ GPRS ก็ย่อมได้ จุดหมายปลายทางของผู้ให้บริการเหล่านี้
อาจเลือกกระโดดจาก GPRS ไปสู่เทคโนโลยี UMTS แบบ W-CDMA (Wideband
CDMA) ซึ่งเป็นมาตรฐานโทรศัพท์เคลื่อนที่ 3G โดยตรง หรือผ่านเส้นทางของเทคโนโลยี
EDGE ก่อนจะเข้าสู่ยุค 3G ก็ได้ ผู้เขียนจะขอกล่าวถึงข้อพิจารณาเกี่ยวกับทางเลือกนี้ในภายหลัง
นอกจากนั้น ผู้ให้บริการเครือข่าย GSM ยังมีทางเลือกเพิ่มเติมในการพัฒนาเครือข่ายของตนจากยุค
2G ไปสู่เทคโนโลยี GPRS และก้าวกระโดดไปสู่เทคโนโลยีแบบ TD-SCDMA
(Time Division-Synchronization CDMA) ซึ่งเป็นมาตรฐานใหม่ที่ได้รับการผลักดันให้เป็นมาตรฐานหลัก
โดยความร่วมมือระหว่างบริษัทซีเมนส์และรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีน
สำหรับแนวทางนี้ยังอยู่ภายใต้การพิจารณาเตรียมความพร้อมทางด้านเทคนิค
ก่อนที่จะประกาศให้เป็นมาตรฐานในอนาคตต่อไป
- มาตรฐานเครือข่าย CDMA หรือ IS-95
: สำหรับในประเทศญี่ปุ่น โดยเฉพาะผู้ให้บริการรายใหญ่ดังเช่นบริษัท
J-Phone หรือ KDDI จะมีแนวทางการพัฒนาเครือข่าย CDMA ของตนให้กลายเป็นมาตรฐาน
cdma2000 ซึ่งเป็นมาตรฐาน 3G โดยตรง ต่างกับในสหรัฐอเมริกาและอีกหลายประเทศในทวีปเอเซีย
รวมทั้งประเทศไทย ซึ่งมีขั้นตอนในการปรับเปลี่ยนและพัฒนาเครือข่าย
CDMA ของตนเพื่อเข้าสู่มาตรฐาน cdma2000 ที่ค่อนข้างซับซ้อนวุ่นวาย
สำหรับในยุโรปนั้นจะมีการพัฒนาเครือข่าย CDMA แบบ IS-95 ไปเป็นมาตรฐาน
IS-95B ซึ่งมีขีดความสามารถเทียบเท่ากับโทรศัพท์เคลื่อนที่ 2.5G
ก่อนที่จะก้าวกระโดดไปสู่มาตรฐาน cdma2000
- มาตรฐานเครือข่าย TDMA หรือ IS-136
: เป็นมาตรฐานที่ใช้งานกันอยู่ในทวีปอเมริกา มีขั้นตอนการพัฒนาเครือข่ายไปสู่มาตรฐาน
IS-136+ ซึ่งมีขีดความสามารถเทียบเท่ากับมาตรฐาน 2.5G ติดตามด้วยการพัฒนาอีกขั้นหนึ่งสู่มาตรฐาน
IS-136hs อันเป็นมาตรฐานเดียวกันกับ EDGE ของตระกูล GSM ปิดท้ายด้วยการก้าวเข้าสู่มาตรฐานโทรศัพท์เคลื่อนที่
UMTS แบบ W-CDMA เป็นอันดับสุดท้าย
- มาตรฐานเครือข่าย PDC หรือ Packet
Digital Cellular : หรือที่มีชื่อเรียกทางการว่า
I-mode อันลือลั่นของบริษัท NTT DoCoMo ของประเทศญี่ปุ่น ซึ่งถือเป็นเครือข่าย
2.5G โดยพื้นฐานอยู่แล้ว จึงมีเส้นทางในการพัฒนาไปสู่ความเป็นเครือข่าย
3G ที่ง่าย ๆ ด้วยการแปลงสภาพไปเป็นเครือข่ายมาตรฐาน UMTS แบบ W-CDMA
โดยตรง
โดยสรุป จึงสามารถกล่าวได้ว่า มาตรฐานโทรศัพท์เคลื่อนที่หลัก
ๆ ทั่วโลก ต่างมีแนวทางที่ชัดเจนในการพัฒนาเข้าสู่ยุค 3G โดยอาจมีความแตกต่างในรายละเอียดทางด้านเทคนิคบ้าง
ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของผู้บริหารเครือข่ายในการเลือกกำหนดแนวทางในการพัฒนาเครือข่ายที่เกี่ยวข้องกับเงินลงทุน,
ความพร้อมของเครือข่ายในปัจจุบัน, ความพร้อมของเครื่องลูกข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่
และความพร้อมในการใช้บริการ Non-voice ของผู้ใช้บริการภายในเครือข่ายของตน
ในบทความเรื่องนี้ ผู้เขียนจะขอกล่าวถึงทางเลือกในการก้าวสู่ยุค
3G เฉพาะสำหรับเครือข่าย GSM ซึ่งเป็นเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ซึ่งมีจำนวนผู้ใช้บริการมากที่สุดในโลก
อ่านต่อหน้า 2 Mobile Data : คลื่นร้อนของธุรกิจสื่อสารไร้สาย
กลับขึ้นด้านบน - TOP
|