Xiaomi เปิดตัว Redmi Note 13 Series สมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ออกมาถึง 3 รุ่น โดยมีรุ่นโปร Redmi Note 13 Pro+ 5G เป็นผู้นำทัพ นำเสนอดีไซน์เรียบหรูด้วยหน้าจอแสดงผลแบบโค้ง AMOLED 120Hz ความละเอียด 1.5K ถ่ายสนุกทุกรายละเอียดด้วยกล้อง 200MP ซึ่งมีระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบออพติคอล (OIS) สัมผัสประสิทธิภาพระดับเรือธงด้วยชิป MediaTek Dimensity 7200-Ultra รองรับ 5G และแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ 5000mAh พร้อมชาร์ไวไปกับไฮเปอร์ชาร์จ 120W ชาร์จเต็มใน 19 นาที
Shopee : https://shope.ee/5pj9dYLuiW
Lazada : https://s.lazada.co.th/s.OwFTq?cc
Redmi Note 13 Pro+ 5G มีขนาดตัวเครื่อง 161.4 x 74.2 x 8.9 มิลลิเมตร และน้ำหนัก 204.5 กรัม ฝาหลังมีความโค้งลง ทำให้กระชับกับมือขึ้นเมื่อถือใช้งาน พร้อมให้รูปทรงที่ดูพรีเมี่ยม
หน้าจอแสดงผล AMOLED กว้าง 6.67 นิ้ว ความละเอียด 1.5K (2712 x 1220 พิกเซล) ปรับความสว่างได้สูงสุด 1800nits อัตรา Refresh Rate สูงสุด 120Hz และครอบทับด้วยกระจก Gorilla Glass Victus
เหนือหน้าจอแสดงผล ใช้ดีไซน์รอยแหว่งแบบจอเจาะรูตรงกลาง ติดตั้งกล้องหน้า ความละเอียด 16MP และเหนือหน้าจอแสดงผลมีช่องเล็กๆ เป็นลำโพงเสียง
ด้านบนของเครื่องจะมีเป็นช่องลำโพง รูไมโครโฟน และเลเซอร์ IR Blaster
หน้าจอด้านล่างไม่มีปุ่มใช้งานใดๆ สำหรับปุ่มนำทางจะมาในรูปแบบซอฟต์แวร์ ตั้งค่าได้ตามความต้องการใช้งาน และสามารถสแกนลายนิ้วมือเพื่อปลดล็อคได้
ข้างซ้ายตัวเครื่องไม่มีการใช้งานใดๆ เป็นกรอบตัวเครื่องที่แบ่งส่วนของหน้าจอโค้งและฝาหลังออกจากกัน
ข้างขวาตัวเครื่อง เป็นปุ่มใช้งานพื้นฐาน โดยปุ่มยาวเป็นปุ่มเพิ่มเสียงและลดเสียง ถัดลงมาเป็นปุ่มเพาเวอร์ ใช้สำหรับเปิด ปิด และล็อคหน้าจอ
ตัวเครื่องด้านล่างซ้ายสุดมีช่องใส่ถาดซิมการ์ด โดยถาดเป็นแบบ 2 สลอต รองรับ Nano SIM 2 ช่อง ไม่มีช่องสำหรับ MicroSD Card ถัดมาตรงกลางเป็นพอร์ต USB Type-C และขวาสุดเป็นลำโพงเสียง
สำหรับด้านฝาหลังเป็นกระจก AG ในตัวเลือกสีดำ และสีขาว มีความเงาด๔สวยงาม แยกพื้นที่กล้องด้วยการใช้สีเข้มกว่าส่วนของฝาหลัง ติดตั้งกล้องหลัง 3 เลนส์ที่นูนขึ้นมาจากฝาหลัง ประกอบไปด้วย กล้องหลัก ความละเอียด 200MP, กล้อง Ultra-Wide ความละเอียด 8MP และกล้อง Depth ความละเอียด 2MP กับไฟแฟลช LED แนวยาวที่อยู่อีกฝั่งของเลนส์กล้อง นอกจากนี้ยังมีมาตรฐานกันน้ำกันฝุ่น IP68 ด้วย
อุปกรณ์ภายในกล่อง
กล้องหลักความคมชัดสูง 200MP
Redmi Note 13 Pro+ 5G ชูไฮไลท์เรื่องของกล้องถ่ายภาพระดับเรือธง ด้วยความละเอียดที่สูงถึง 200MP พร้อมระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบออพติคอล (OIS) จึงสามารถเก็บภาพที่มีความคมชัดสูงได้สวยงาม สีสันสมจริง แม้จะครอปบางส่วนออกมาก็ยังได้รายละเอียดที่ดี และยังใช้เซนเซอร์ ISOCELL HP3 จาก Samsung ที่มีรูรับแสง f/1.65 ขนาดใหญ่ และ Tetra2pixel อัลกอริทึมที่พัฒนาขึ้นเอง ช่วยทำให้ภาพถ่ายในที่แสงน้อยสว่างและคมชัดยิ่งขึ้น ในขณะที่เลนส์ 7P (7P lens) พร้อม Atomic Layer Deposition (ALD) ช่วยลดแสงแฟลร์และภาพซ้อนอย่างมีประสิทธิภาพ
ต่อมาเป็นกล้อง Ultra-Wide ความละเอียด 8MP (f/2.2) ใช้ในการถ่ายภาพวิวทิวทัศน์ในมุมมองกว้าง และกล้อง Macro ความละเอียด 2MP (f/2.4) ที่ขยายรายละเอียดของจุดเล็กๆ ออกมาให้ชัดเจนกว่าเดิม เรียกว่ามีกล้องที่พร้อมให้ใช้งานอย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นมุมมองแบบปกติ หรือการสร้างสรรค์มุมที่แตกต่างไป
สำหรับการถ่ายภาพบุคคล สามารถทำออกมาได้ดี มีการจับโฟกัสของตัวแบบและละลายพื้นหลังได้สมบูรณ์ดี อาจมีปอยผมหลุดๆ มาบ้าง แต่ก็ไม่ได้น่าเกลียด ปรับความเบลอของฉากหลังจากเบลอมากไปน้อยได้ตามความต้องการ ตั้งแต่ระดับ f1 - f10
ด้วยความที่มีเซ็นเซอร์ขนาดใหญ่ และฮาร์ดแวร์ของกล้องได้ทำงานร่วมกับ Xiaomi Imaging Engine ซึ่งเป็นระบบการประมวลภาพเวอร์ชันใหม่ จึงทำให้ภาพถ่ายในที่แสงน้อยออกมาคมชัดดีมาก ไม่พบการเกิดจุดรบกวน และการถ่ายภาพกลางคืนที่สวย คือยังคงบรรยากาศโดยรอบให้เป็นกลางคืนแบบธรรมชาติ ซึ่งกล้องของ Redmi Note 13 Pro+ 5G ก็ทำออกมาได้ดี
นอกจากนั้น Redmi Note 13 Pro+ 5G ยังมีขอบเขตสี P3 แบบ end-to-end ที่มีพื้นที่สีที่กว้างกว่ามาตรฐาน sRGB ทำให้ภาพถ่ายในจอแสดงผลมีความสวยงามเสมือนจริง และผู้ใช้ยังสามารถเพิ่มระดับภาพถ่ายด้วยตัวเลือกการปรับแต่งภาพที่หลากหลาย ได้แก่ ฟิลเตอร์ filmCamera ใหม่ล่าสุด เฟรมภาพแบบ Art และเอฟเฟกต์ AI bokeh
หน้าจอแสดงผล AMOLED 120Hz ความละเอียด 1.5K
เป็นครั้งแรกที่ทางแบรนด์ได้นำดีไซน์มาใช้ใน Redmi Note Series เป็นการยกระดับความพรีเมียมให้กับซีรี่ย์นี้ นอกจากรูปลักษณ์ที่สวยงาม ยังอัดแน่นมาด้วยประสิทธิภาพ กับหน้าจอแสดงผลแบบ AMOLED ขนาด 6.67 นิ้ว ความละเอียด 1.5K ซึ่งมีความคมชัดกว่าหน้าจอ FHD+ ทั่วไป รองรับอัตรารีเฟรช AdaptiveSync 120Hz มีทั้งความคมชัด ให้สีสันสวยงาม การแสดงผลลื่นไหล ในส่วนของการใช้งานกลางแจ้ง สามารถมองเห็นได้แบบไม่จำเป็นต้องเพ่งสายตา มีความสว่างสูงสุด 1800nits ช่วยให้รับชมคอนเทนด์ต่างๆ ได้ดี
มีเทคโนโลยีที่ช่วยในการถนอมสายตา ไม่ว่าจะเป็นจากการมองหน้าจอนานๆ หรืออยู่ในสภาวะแวดล้อมที่มีแสงน้อยและมืด มีคุณสมบัติปรับลดความสว่างแบบ PWM Dimming 1920Hz
, การปรับความสว่างได้ถึง 16,000 ระดับ โดย Redmi Note 13 Pro+ 5G ได้รับการรับรองจาก TÜV Rheinland ทั้ง 3 อย่าง ประกอบด้วย การปราศจากการกระพริบ (Flicker Free), แสงสีฟ้าต่ำ (Low Blue Light) และการเป็นมิตรทางชีวภาพตลอดทั้งวันกับผู้ใช้งาน (Circadian Friendly)
สำหรับคนที่ชอบเล่นเกม Redmi Note 13 Pro+ 5G มีอัตราการตอบสนองการสัมผัสทันทีที่ 2160Hz และเทคโนโลยีสัมผัสความละเอียดสูงพิเศษ 16 เท่า ในโหมด Game Turbo ทำให้ตอบสนองต่อการสัมผัสได้รวดเร็วและแม่นยำ ทำให้ไม่หัวร้อนขณะต้องทำแต้ม แถมเพิ่มอรรถรสมันส์ๆ ผ่านทางลำโพงคู่และเทคโนโลยี Dolby Atmos ให้ได้ระบบเสียงรอบทิศทาง
ชิปเซ็ต MediaTek Dimensity 7200-Ultra
Redmi Note 13 Pro+ 5G ขับเคลื่อนด้วยชิปเซ็ต MediaTek Dimensity 7200-Ultra ขนาด 4nm จาก TSMC จากการทดสอบสามารถทำคะแนน Antutu ไปได้ 713,474 คะแนน ผสานการทำงานกับ RAM + ROM ซึ่งมี 2 ตัวเลือกความจุ คือ 8GB+256GB และ 12GB+512GB รันบนระบบปฏิบัติการ MIUI 14 บนพื้นฐาน Android 13 การใช้งานพื้นฐานไม่พบปัญหาใดๆ ประมวลผลได้รวดเร็วดี แถมรองรับเครือข่าย 5G ที่ช่วยให้การเชื่อมต่อหรือการดาวน์โหลดดีขึ้น พร้อมพื้นที่การจัดเก็บข้อมูลที่เพิ่มถึง 512GB ทำให้จัดเก็บรูปภาพ วิดีโอและอื่นๆ ได้อย่างเต็มที่
ระบบความปลอดภัยไบโอเมตริก
Redmi Note 13 Pro+ 5G มีระบบความปลอดภัยไบโอเมตริกมาให้ 2 แบบคือ การสแกนลายนิ้วมือ ซึ่งอยู่บริเวณด้านล่างหน้าจอ จดจำลายนิ้วมือได้สูงสุด 5 ลายนิ้วมือ สามารถสแกนได้รวดเร็วแม้มือเปียกเหงื่อ ส่วนอีกแบบเป็นการสแกนใบหน้า ซึ่งจดจำได้ 2 ใบหน้า ใช้งานได้ดีเช่นกัน
แบตเตอรี่ 5,000mAh ชาร์จเร็ว 120W HyperCharge
Redmi Note 13 Pro+ 5G พร้อมด้วยแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ 5,000mAh สามารถใช้งานได้สบายๆ 1 วันเต็ม แม้จะเปิดการเชื่อมต่อเครือข่าย 5G แต่หากใช้งานหนักแบบสตรีมเกม หรือดาวน์โหลดไฟล์ขนาดใหญ่ผ่านเครือข่ายมือถือ อาจทำให้แบตเตอรี่ลดลงเยอะ แต่ก็ยังเพียงพอต่อการกลับมาชาร์จที่บ้าน
โดย Redmi Note 13 Pro+ 5G รองรับการชาร์จเร็วผ่านสาย 120W ซึ่งทางแบรนด์เคลมว่าสามารถชาร์จได้เต็ม 0-100% ในเวลาเพียง 19 นาที จากการทดลอง ใช้เวลาไปที่ 25 นาที อาจคลาดเคลื่อนจากข้อมูลของแบรนด์เล็กน้อย แต่ถือว่าทำได้ดี อีกทั้งเครื่องไม่เกิดความร้อน และที่ดีที่สุดคือให้อะแดปเตอร์ไฮเปอร์ชาร์จ 120W มาให้ในกล่องด้วย
สเปคพื้นฐานของ Redmi Note 13 Pro+ 5G
ความจุ RAM และ ROM
ตัวเลือก RAM กับ ROM ของ Redmi Note 13 Pro+ 5G มีให้เลือก 2 ตัวเลือกความจุ คือ 8GB+256GB และ 12GB+512GB ไม่สามารถเพิ่ม MicroSD Card ได้ สำหรับ RAM เป็นแบบ LPDDR5 ช่วยให้ใช้งานได้ลื่นมากขึ้น และ ROM เป็นแบบ UFS 3.1 ช่วยให้ถ่ายโอนข้อมูลได้รวดเร็วมากขึ้น
ระบบปฏิบัติการ
ระบบปฏิบัติการได้ระบบใหม่ล่าสุดอย่าง MIUI 14 บนพื้นฐาน Android 13 ซึ่งมีการใช้งานที่รวดเร็วเช้ากับฮาร์ดแวร์ได้ดี และยังมี UX กับ UI ที่ดูใช้งานง่ายๆ ทั้งนี้ยังการปรับแต่งฟังก์ชั่นต่างๆ ที่ช่วยให้ผู้ใช้งานใช้งานได้สะดวก
หน้าจอหลัก
หน้าจอหลักก็มีการใช้งานที่สะดวก สามารถเลือกได้ทั้งเป็นแบบถาด หรือให้แอพฯ อยู่หน้าจอหลักทั้งหมด ส่วนภาพพื้นหลัง และธีม ก็สามารถเปลี่ยนได้ตามใจ หรือจะเป็นดาวน์โหลดเพิ่มเติมก็ได้เช่นกัน โดยมีทั้งแบบเสียเงิน และฟรี
วิธีปรับอัตรา Refresh Rate
Redmi Note 13 Pro+ 5G รองรับอัตรารีเฟรช AdaptiveSync 120Hz สามารถปรับลดไปเป็น 60Hz ได้ หรือปรับให้เหมาะสมได้อย่างอัตโนมัติ โดยเข้าไปที่ การตั้งค่า > แสดงผล > อัตราการรีเฟรช
โหมดมืด
โหมดมืด หาดเปิดใช้งานนอกจากจะช่วยให้ใช้งานในที่แสงน้อยได้สบายตา ยังช่วยประหยัดแบตเตอรี่ได้อีกทาง เพราะหน้าจอของ Redmi Note 13 Pro+ 5G เป็นพาแนล AMOLED สามารถไปเปิดใช้งานได้ที่ การตั้งค่า > แสดงผล > โหมดมืด
Always-On Display
หน้าจอของ Redmi Note 13 Pro+ 5G รองรับการใช้งานในโหมด Always-On Display ซึ่งจะช่วยให้บอกข้อมูลเวลา วันที่ แบตเตอรี่ และการแจ้งเตือนในขณะพักหน้าจอ โดยไม่ต้องปลดล็อกเครื่องเข้ามาดู สามารถไปเลือกรูปแบบต่างๆ และเปิดใช้งานได้ที่ การตั้งค่า > จอแสดงผลแบบเปิดตลอดและหน้าจอล็อก > จอแสดงผลแบบเปิดตลอด
การทดสอบความเร็วและการแสดงผลของเครื่อง
ราคาและการวางจำหน่าย
Redmi Note 13 Pro+ 5G มีทั้งหมด 3 สี ได้แก่ สี Midnight Black, สี Moonlight White และสี Aurora Purple พร้อมราคาเริ่มต้นที่ 13,990 บาท โดยวางจำหน่ายในราคา
พร้อมให้ลูกค้าสั่งจองล่วงหน้าระหว่างวันที่ 16 - 26 มกราคม 2567 โดยจะวางจำหน่ายในประเทศไทยอย่างเป็นทางการในวันที่ 27 มกราคม 2567 เป็นต้นไป ที่ Xiaomi Store และร้านตัวแทนจำหน่ายที่ร่วมรายการทั่วประเทศ รวมถึงช่องทางการจัดจำหน่ายทางออนไลน์แพลตฟอร์ม
จอ OLED 10-bit
1188 x 2790 พิกเซล
กล้องหน้า 16MP
Qualcomm Snapdragon 7 Gen 1 Octa Core
Android 13
RAM 8 GB
ROM 256 GB
4,310 mAh
ชาร์จไว 33W
nubia Flip สมาร์ทโฟน หน้าจอ 6.9 นิ้ว Snapdragon 7 Gen 1 Octa Core ราคา 19,990 บาท