สรุปจุดเด่นและสเปค Infinix NOTE 40 Pro+ 5G ชาร์จเร็วโคตร 100 วัตต์ ลำโพงคู่ JBL หน้าจอ 120Hz อุปกรณ์ในกล่องแถมครบ!

Infinix ประเทศไทยจะนำรุ่นพี่ Infinix NOTE 40 Pro+ 5G เข้ามาวางจำหน่ายในประเทศไทยเร็วๆ นี้ เป็นรุ่นพี่สุดในรุ่นของซีรีส์ Infinix NOTE 40 / NOTE 40 Pro / NOTE 40 Pro 5G โดยมีสเปคดีที่สุดแล้ว ชูจุดเด่นชาร์จเร็วมากถึง 100 วัตต์ พร้อมชิปเซ็ตแยกเฉพาะควบคุมการชาร์จแบตเตอรี่ ในบทความนี้จะสรุปจุดเด่นและสเปคให้ได้ทราบกันว่ามีอะไรบ้าง

บทความที่เกี่ยวข้อง

• 
  ทำความรู้จัก Infinix HOT 50i หน้าจอ 120Hz เก็บข้อมูลจุใจ 256GB ราคาใหม่ พร้อมสีใหม่สดใส
• 
  Infinix ปล่อยเซอร์ไพรส์ HOT 50 Pro+ Series สีสันพิเศษ ต้อนรับเทศกาลแห่งความสุข

ติดตามข่าว สยามโฟน.คอม ที่

เริ่มกันที่จุดเด่นของ Infinix NOTE 40 Pro+ 5G มีอะไรบ้าง

Infinix NOTE 40 PRO+ 5G หน้าจอแสดงผลมีขนาดใหญ่ 6.78 นิ้ว มีขอบโค้งเล็กน้อย อัตรารีเฟรชเรท 120Hz อัตราการตอบสนองทัชสกรีน 1500Hz พร้อมมาตรฐานการแสดงเฉดสีมากกว่า 10 ล้านสี ในระดับ DCI-P3 100% และมีอัตราการกะพริบหน้าจอ 2160 PWM Dimming ช่วยให้ถนอมสายตามากยิ่งขึ้นเมื่อใช้งานในสภาพแวดล้อมแสงน้อย โดยมีความสว่างหน้าจอ 1300nits เรียกได้ว่าการแสดงผลจัดเต็มทุกคอนเทนต์ สีสวยสดสมจริง

Infinix NOTE 40 Pro+ 5G มีฟีเจอร์ Active Halo AI lighting จะแสดงแสงสีในแต่ละลักษณะการใช้งาน นอกจากนี้การใช้งานก็คุ้มค่ามากยิ่งขึ้น เพราะ Infinix บอกว่ารุ่นดังกล่าวอัปเดต OS ได้นาน 2 ปี พร้อมอัปเดตแพทช์ความปลอดภัยนาน 3 ปี ด้านความบันเทิงก็สามารถรับชมอย่างเพลิดเพลินด้วยหน้าจอประสิทธิภาพสูง กับลำโพงสเตอริโอมาตรฐานเสียงจาก JBL นอกจากจุดเด่นและสเปคจัดหนักจัดเต็มแล้ว ด้านอุปกรณ์ภายในกล่องที่แถมมาให้ก็เลิศเช่นกัน มาครบถ้วนเลยทั้ง สายชาร์จ USB Type-C, อะแดปเตอร์ชาร์จเร็ว 100 วัตต์ และ Wireless MagChargeความเร็ว 20 วัตต์ เรียกได้ว่าซื้อมาแล้ว ไม่ต้องไปหาซื้ออุปกรณ์อื่นเพิ่มเติมเลย

Infinix NOTE 40 PRO+ 5G ไฮไลท์สำคัญของสมาร์ทโฟนรุ่นนี้เลย โดยมีชิปเซ็ต Infinix Cheetah X1 ทำหน้าที่ควบคุมกับมอนิเตอร์การชาร์จแบตเตอรี่โดยเฉพาะ ตั้งแต่ควบคุมกระแสไฟฟ้าผ่าน AI, ลดอุณหภูมิขณะชาร์จด้วยเทคนิคการชาร์จ Bypass Charging 2.0 ลดอุณหภูมิลงได้ประมาณ 4.5 องศาเซลเซียส และระบบความปลอดภัย เนื่องจากรองรับเทคโนโลยีชาร์จความเร็วสูงถึง 100 วัตต์

ฟีเจอร์ชาร์จเร็ว 100 วัตต์ ต้องบอกว่าเป็นสมาร์ทโฟนอีกรุ่นหนึ่งที่ชาร์จเร็วเอามากๆ ในเวลานี้เลย ไม่ต้องรอนาน แปปเดียวแบตเตอรี่ก็เต็มแล้ว นำเวลาไปทำอย่างอื่นได้สบายๆ เพราะมีความเร็วในการชาร์จมากถึง 100 วัตต์ ส่วนในกล่องแถมอะแดปเตอร์มาด้วยนะ! เคลมว่าชาร์จ 0%-50% ภายในระยะเวลา 12 นาที หรือชาร์จเพียง 5 นาที เคลมว่า เล่นเกมต่อได้อีกประมาณ 3 ชั่วโมง หรือดูคอนเทนต์วิดีโอเพิ่มขึ้นประมาณ 6 ชั่วโมง

นอกจากนี้สมาร์ทโฟนรุ่นดังกล่าวแถมอุปกรณ์ MagCharge คือ คุณสามารถนำอุปกรณ์อื่นมาชาร์จแบตเตอรี่ได้ด้วยที่ความเร็ว 20 วัตต์ เรียกได้ว่าเหมือนมีแบตเตอรี่สำรองพกพาไปในตัว หรือจะสายชาร์จแบบปกติก็ได้เช่นกัน ด้วยฟีเจอร์ Reverse Charge

Infinix NOTE 40 PRO+ 5G มีคุณสมบัติป้องกันน้ำป้องกันฝุ่น IP53 เพื่อให้คุณสามารถใช้งานได้ทุกสถานการณ์ แม้เปียกชื้น นอกจากนี้ยังเป็นเหมือนรีโมทคอนโทรล โดยมีฟีเจอร์ IR Remote สามารถเชื่อมต่อกับเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านที่รองรับได้ ในการควบคุมเครื่องใช้ไฟฟ้า

สรุปสเปคเบื้องต้น Infinix NOTE 40 PRO+ 5G

• ขนาดตัวเครื่อง : 164.28 x 74.5 x 8.09 มม.
• น้ำหนัก : 196 กรัม
• ระบบปฏิบัติการ : XOS 14 บนพื้นฐาน Android 14
• หน้าจอ : AMOLED ขนาด 6.78 นิ้ว (ความละเอียด 2436 x 1080 พิกเซล) อัตรารีเฟรชเรท 120Hz กับอัตราการตอบสนองทัชสกรีน 1500Hz และอัตราการกะพริบหน้าจอ 2160Hz PWM Dimming ให้ความสว่างหน้าจอสูงสุด 1300nits ครอบทับกระจก Corning Gorilla Glass
• ชิปเซ็ตประมวลผล : MediaTek Dimensity 7020
• GPU : IMG BXM-8-256
• RAM : 8GB LPDDR4X
• พื้นที่เก็บข้อมูลภายใน : 256GB UFS 2.2
• ถาดซิมการ์ด : Dual SIM (nano + nano)
• เลนส์กล้อง แบ่งเป็น 3 เลนส์
  • เลนส์หลัก : ความละเอียด 108 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/1.75 มีระบบป้องกันภาพสั่นไหว OIS
  • เลนส์สอง : Macro ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.4
  • เลนส์สาม : Depth ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.4
• กล้องหน้า : ความละเอียด 32 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.2
• เซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอ
• ลำโพงสเตอริโอ Stereo มาตรฐานเสียง Hi-Res
• ระบบเชื่อมต่อ : 5G SA/NSA, Dual 4G VoLTE, WiFi 6, Wi-Fi 802.11 ac, Bluetooth 5.3,GPS/GLONASS, NFC
• พอร์ต USB Type-C
• แบตเตอรี่ : ความจุ 4600mAh ชาร์จเร็วผ่านสาย 100W และผ่าน Wireless MagCharge ความเร็ว 20 วัตต์

Infinix NOTE 40 PRO+ 5G มี 2 เฉดสีให้เลือก ได้แก่ Vintage Green และ Obsidian Black จะเผยโฉมราคาและโปรโมชั่นอย่างเป็นทางการวันที่ 29 เมษายน โดยจะอัปเดตข้อมูลให้อีกครั้งหนึ่ง