ลดความอ้วนจะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป ถ้ามีสิ่งนี้...

ได้มีการค้นพบยาตัวใหม่ที่แก้ปัญหาใหญ่ระดับโลกได้ การลดความอ้วนอย่างที่รู้กันว่าการลดความอ้วนไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องอาศัยความอดทน มีวินัย ถึงแม้จะมียาลดความอ้วนออกมามากมายแต่ก็ไม่ปลอดภัย หรือยั่งยืนให้กับสุขภาพของเรา

ซึ่งทางที่ดีที่สุดคือการควบคุมและปรับเปลี่ยนพฤติกรรม แต่นักวิจัยได้มีการค้นพบหนทางลดความอ้วนแบบใหม่นั่นคือ การหลั่งไขมันทางรูขุมขน

บทความที่เกี่ยวข้อง

• 
  OPPO เตรียมเปิดตัว OPPO Reno13 Series 5G สมาร์ทโฟน AI รุ่นล่าสุด
• 
  ลือ! iPhone 18 Pro เตรียมใช้โมเด็มเซลลูลาร์ C2 รุ่นใหม่ล่าสุดจาก Apple

ติดตามข่าว สยามโฟน.คอม ที่

นักวิทยาศาสตร์กลุ่มหนึ่งกำลังพัฒนายารักษาโรคเบาหวานและพวกเขามีสมมติฐานว่าถ้าฉีดโปรตีนตัวหนึ่งเข้าไปในร่างกายมนุษย์ มันจะไปช่วยบรรเทาความเสียหายจากเบาหวานประเภทที่ 2 ได้

ซึ่งก็แน่นอนทั้งหมดนี้ยังอยู่ในขั้นทดลองและพวกเขาก็ทดลองในหนูเพื่อจะหาผลของการฉีดโปรตีนที่ว่าในระดับพื้นฐานก่อนจะไปทดลองในมนุษย์เพื่อความปลอดภัยแต่หนูทดลองนั้นหลังจากได้รับยาไปเเล้วตัวกลับเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อซึ่งเเปลกมากจนทำให้สงสัยว่าทำไมหนูถึงเปียกเพราะหนูไม่เหมือนคน พวกมันไม่มีเหงื่อ

สิ่งนั้นจึงไม่มีทางจะเป็นเหงื่อไปได้เลยจึงได้นำไปทดสอบต่อพบว่า เป็นไขมันจากตัวหนู พวกหนูที่ได้รับสารตัวนี้ไปกลับกลายเป็นว่ามันผอมลงกลายเป็นว่าพวกหนูได้มีการหลั่งน้ำมันออกมา

ทำให้ไขมันที่สะสมในส่วนต่างๆ ของร่างกายขับออกมาทางรูขุมขนจนทำให้หนูผอมในที่สุด นักวิจัยกลุ่มนี้ได้ค้นพบยาลดความอ้วนที่น่าจะใช้ได้จริงโดยบังเอิญ

ลืมภาพจำยาลดความอ้วนแบบเก่าๆ ไปได้เลย จากการวิจัยเพิ่มเติมพบว่าโปรตีนตัวนั้นไปกระตุ้นภูมิคุ้มกันของสัตว์ ซึ่งรูขุมขนมันสามารถหลั่งไขมันออกมาได้ มันคือส่วนหนึ่งของระบบภูมิคุ้มกันที่เอาไว้ป้องกันเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย

นี่คือ กลไกพื้นฐานโปรตีนที่พวกนักวิทยาศาสตร์ทดลองฉีดไปในหนูจริงๆ คือมันไปกระตุ้นการหลั่งไขมัน ทำให้ไขมันในร่างกายของหนูลดลง

ถ้าโปรตีนตัวนี้ใช้ได้ผลกับหนูเท่ากับนักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบยาลดความอ้วนแบบใหม่ ตัวเดียวจบแต่เรื่องนี้ก็ยังคงต้องศึกษากันอีกยาวไกลเพราะปกติในการทดลองยาจะต้องทดลองกันถึงหลายปีกว่าจะนำออกมาใช้จริงได้

แต่เหตุการณ์บังเอิญนี้ก็น่าสร้างความตื่นเต้นให้กับผู้คนได้ไม่น้อยเลยทีเดียว ไม่แน่ในอนาคตเราอาจไม่ต้องออกกำลังกายแต่เป็นการพึ่งพาวิทยาศาสตร์แทน

เเหล่งที่มา www.iflscience.com