เพราะรักหรือนักสะกดรอย? หญิงอเมริกันส่งข้อความหาคู่เดทกว่า 65,000 ข้อความหลังเจอกันแค่ครั้งเดียว

เคยไปออกเดทครั้งแรกแล้วรู้สึกดีกับคู่เดทจนแทบจะรอพบเขาครั้งต่อไปไม่ไหวหรือไม่ บางคนอาจจะเคยแต่ก็คงไม่กระตือรือร้นเท่ากับกรณีของผู้หญิงรายหนึ่งในเมืองฟีนิกส์ รัฐแอริโซนา ประเทศสหรัฐอเมริกาซึ่งเธอผู้นี้ส่งข้อความไปหาคู่เดทกว่า 65,000 ข้อความหลังจากนัดเดทกันครั้งเดียว

บทความที่เกี่ยวข้อง

• 
  5 ข้อดีระบบจัดเก็บสินค้าอัตโนมัติที่ช่วยลดต้นทุนและเพิ่มกำไร
• 
  เปิดขั้นตอนสมัครบัตรเครดิตออนไลน์ต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง

ติดตามข่าว สยามโฟน.คอม ที่

ในรายงานของตำรวจระบุว่าผู้หญิงคนดังกล่าวชื่อ Jacqueline Claire Ades วัย 31 ปีได้ส่งข้อความหาชายผู้เสียหายประมาณ 65,000 ข้อความในช่วง 17 เดือน โดยมากที่สุดราว ๆ 500 ข้อความต่อวันหลังจากที่ออกเดทกับชายคนนี้เพียงครั้งเดียว พนักงานอัยการยังได้เปิดเผยข้อความบางส่วนที่ชี้ให้เห็นว่าเธอกำลังคุกคามชายคนดังกล่าว เช่น "อย่าพยายามทิ้งฉันนะ ฉันจะฆ่าคุณ ฉันไม่อยากเป็นฆาตกรหรอกนะ"

เธอเล่าว่าพบกับผู้เสียหาย (ชายคนที่ออกเดทด้วย) ผ่านบริการหาคู่ออนไลน์และออกไปเที่ยวกับเขาเป็นเวลา 3 วัน ตำรวจเผยว่าหลังจากการเดทครั้งนั้น เธอส่งข้อความไปหาเขาเป็นพัน ๆ ข้อความ พยายามบุกรุกเข้าไปที่บ้านของชายผู้เสียหายและแสดงตัวในที่ทำงานของผู้ชายว่าเธอเป็นภรรยาของเขา

ในข้อความเหล่านี้มีบางส่วนที่แสดงให้เห็นว่าเธอข่มขู่จะฆ่าคู่เดทของเธอถ้าเขาตีตัวออกห่าง เธอจะเอาชิ้นส่วนอวัยวะในร่างกายของเขามาประดับร่างกายและอาบน้ำด้วยเลือดของเขา เมื่อสบโอกาสที่ชายผู้นี้เดินทางไปต่างเมือง Jacqueline Claire Ades ก็บุกเข้าไปในบ้านของผู้ชายและอาบน้ำในอ่างอาบน้ำของเขา พอเขากลับมาพบจึงโทรแจ้งตำรวจและยังพบว่าเธอพกมีดขนาดใหญ่ไว้ที่เบาะนั่งหน้ารถของเธอด้วย

หญิงรายนี้ถูกตั้งข้อกล่าวหาว่ามีความผิดทางอาญา เมื่อถึงเวลาก็ไม่ไปรายงานตัวตามที่ศาลเรียกจึงมีการออกหมายจับกุมในเวลาต่อมา จากนั้นเธอก็ถูกจับกุมหลังไปปรากฎตัวที่ที่ทำงานของชายคนดังกล่าวและพยายามอ้างตัวว่าเป็นภรรยาของเขา มีการตรวจสอบในภายหลังว่า Ades เคยอาศัยอยู่ที่ฟลอริด้าแต่ย้ายมาแอริโซนาหลังจากนัดเดทกับชายคนนี้

เธอให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวจากในคุกว่า "ฉันเคยบอกเขาไปว่าถ้าเขาพยายามบล็อกฉันจากในแอพ ฉันจะย้ายมาที่นี่ และเขาก็บล็อกฉันจริง ๆ ดังนั้นฉันก็เลยมาที่นี่"

เชื่อว่าบริการหาคู่ออนไลน์ในอเมริกาคงจะเงียบไปสักพักเลยทีเดียวหลังจากข่าวชวนอึ้งนี้เผยแพร่ออกไป