ซอฟต์แวร์ (Software) | วันที่ : 9 กุมภาพันธ์ 2560
Android Wear 2.0 แพลตฟอร์มบนสมาร์ทวอทซ์เวอร์ชั่นใหม่ล่าสุดของ Google ถูกปล่อยออกมาแล้วโดยถือเป็นข่าวดีสำหรับผู้ใช้งานอุปกรณ์ Android Wear หลายรุ่นในท้องตลาดที่เตรียมทยอยรับอัพเดทกันในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
Android Wear 2.0 เป็นแพลตฟอร์มเวอร์ชั่นที่ได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้นกว่ารุ่นก่อน โดยมีฟีเจอร์ใหม่ถูกใส่เข้ามาให้ใช้งานมากมายและกำลังจะเปลี่ยนรูปแบบการทำงานของสมาร์ทวอทซ์ให้กลายเป็นอุปกรณ์สแตนด์อโลนหรืออุปกรณ์ที่ไม่ต้องพึ่งพาอุปกรณ์อื่นๆ
อุปกรณ์ Android Wear 2.0 สามารถทำงานร่วมกับสมาร์ทโฟน Android และ iPhone ผ่านการเชื่อมต่อ Bluetooth, Wi-Fi และนาฬิกาบางรุ่นก็รองรับ 4G LTE ในตัวด้วย (การเปลี่ยนแปลงที่ใหญ่ที่สุดของ Android Wear 2.0 กับ อุปกรณ์ iOS คือสามารถทำงานร่วมกับ iMessage ได้) และนี่คือ 7 ฟีเจอร์ใหม่ที่ดีที่สุดใน Android Wear 2.0
1. วิธีการใช้งานและการควบคุมที่ง่ายขึ้น
หากกล่าวถึงรูปแบบการทำงานของสมาร์ทวอทซ์ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาเรื่องที่ถูกหยิบยกมาเป็นประเด็นบ่อยครั้งคือเรื่องของวิธีการใช้งานที่ค่อนข้างยากและไม่คุ้นเคยสำหรับผู้ใช้งานอุปกรณ์ประเภทนี้เป็นครั้งแรก บางครั้งการทดลองใช้งานในช่วงเวลาสั้นๆ ถ้าไม่ถูกใจหรือแลดูซับซ้อนก็ทำให้ผู้บริโภคตัดสินใจไม่ซื้อมาไว้ในครอบครอง
Google มองเห็นถึงปัญหาดังกล่าวและพยายามพัฒนารูปแบบการใช้งานให้ง่ายขึ้น จากเดิมที่ต้องกดปุ่มค้างไว้ ปัดเลื่อนหน้าจอไปๆ มาๆ ซ้ายบ้าง ขวาบ้าง ลงบ้าง จนแลดูวุ่นวาย ลืมสิ่งเหล่านี้ไปได้เลยเพราะใน Android Wear 2.0 ทุกอย่างจะดูเรียบง่ายขึ้น ปัดหน้าจอไปทางซ้ายและขวาเพื่อเปลี่ยนรูปแบบหน้าปัด (watchface) ปัดหน้าจอขึ้นเพื่อดูการแจ้งเตือน ปัดลงเพื่อดูการตั้งค่าต่างๆ แตะปุ่มหลักข้างหน้าปัดเพื่อเรียกรายการแอพพลิเคชั่น แตะปุ่มหลักค้างไว้เพื่อเรียกผู้ช่วยรับคำสั่งเสียง Google Assistant และถ้าหากต้องการเรียกใช้ฟังก์ชั่นอะไรที่ซับซ้อนกว่านี้ก็สามารถเปิดแอพหรือตั้งค่าการทำงานแบบกำหนดเองบนหน้าปัดนาฬิกาได้
ส่วนติดต่อผู้ใช้แบบใหม่ใน Android Wear 2.0 มุ่งเน้น "วิธีการ" ที่สามารถตอบโจทย์ได้ว่าผู้ใช้งานต้องการอะไรจากสมาร์ทวอทซ์จริงๆ และกำจัดขั้นตอนที่ยุ่งยากออกไปให้หมด มันถูกออกแบบมาเพื่อผู้ใช้งานที่ต้องการตั้งค่าการทำงานบนสมาร์ทวอทซ์ให้เหมาะสมกับตัวเอง
สุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุด Android Wear 2.0 รองรับการป้อนข้อมูลแบบ "rotational" หรือการป้อนข้อมูลแบบหมุนปุ่มหรือหมุนหน้าปัดในกรณีนาฬิการุ่นที่ใช้งานอยู่มีกรอบหน้าปัดหรือปุ่มเม็ดมะยมที่หมุนเลื่อนได้
2. หน้าปัดนาฬิกาที่ปรับแต่งรูปแบบได้
Android Wear มีข้อได้เปรียบกว่า Apple Watch อย่างหนึ่งตรงที่สามารถดาวน์โหลดหน้าปัดนาฬิกาแบบต่างๆ มาใช้งานได้จำนวนมากจากแอพของผู้พัฒนา Android Wear บุคคลที่สาม แต่บางครั้งรูปแบบหน้าปัดที่โหลดมาใช้งานก็ยังไม่ถูกใจเสีย 100% อยากจะปรับตรงนั้นนิดตรงนี้หน่อย
ใน Android Wear 2.0 ผู้ใช้งานสามารถปรับแต่งรูปแบบหน้าปัดที่มีให้ใช้งานแบบ built-in ได้โดยตรงจากสมาร์ทวอทซ์ด้วยตัวเลือกสำหรับการปรับแต่งหน้าปัดนาฬิกาที่มีให้ใช้งานมากมาย เช่น เปลี่ยนสี ธีม เลย์เอ้าท์ แทรกรายละเอียดบางอย่าง ปรับพื้นหลังและอื่นๆ อีกมากมายซึ่งใช้เวลาไม่นานที่จะออกแบบหน้าปัดนาฬิกาที่ตัวเองชอบโดยไม่ต้องลงลึกถึงขั้นการแก้โค้ดหรือคอมพิวเตอร์กราฟิก
3. การให้อิสระแก่แอพพลิเคชั่นบุคคลที่สาม
ในส่วนนี้ก็เป็นเรื่องใหญ่ของผู้ใช้งาน Android Wear มากพอๆ กับการปรับแต่งรูปแบบหน้าปัดนาฬิกา เพราะบางครั้งผู้ใช้งานก็อยากให้บนหน้าปัดสามารถแสดงส่วนประกอบบางอย่าง เช่น สภาพอากาศ โซนเวลา หรือข้อมูลอะไรบางอย่างที่ขาดหายไปซึ่งในมุมมองของนักพัฒนาแอพก็ต้องการอิสระในส่วนนี้เช่นเดียวกัน
ใน Android Wear 2.0 นักพัฒนาแอพสามารถเข้าถึงการทำงานบนหน้าปัดนาฬิกาได้หลายส่วนมากขึ้น ทั้งการแสดงข้อมูลและการเรียกแอพพลิเคชั่นขึ้นมาทำงานบนหน้าปัดแบบต่างๆ ยกตัวอย่างเช่นในหน้าปัดรายชื่อผู้ติดต่อ นักพัฒนาอาจจะสร้างไอคอนรายชื่อผู้ติดต่อที่ชื่นชอบไว้ให้ผู้ใช้งานใส่หมายเลขผู้ติดต่อที่ต้องการส่งข้อความอย่างรวดเร็ว
ส่วนที่ดีที่สุดก็คือมันสามารถรองรับการทำงานในขณะที่หน้าจออยู่ในโหมดประหยัดพลังงาน (ambient mode) ซึ่งทำให้ผู้ใช้งานเห็นข้อมูลต่างๆ ที่อัพเดทเข้ามาบนหน้าจอโดยไม่พลาดรายละเอียด
4. ใช้แอพจากนาฬิกาได้โดยไม่ต้องง้อสมาร์ทโฟน
ใน Android Wear 2.0 มีการติดตั้ง Google Play store มาให้ใช้งานบนสมาร์ทวอทซ์โดยตรง ซึ่งหมายความว่าผู้ใช้งานสมาร์ทวอทซ์ที่จับคู่กับ Apple iPhone สามารถเข้าถึงแอพต่างๆ จากสมาร์ทวอทซ์ได้มากขึ้นโดยไม่ติดข้อจำกัดของค่าย Apple
ส่วนประโยชน์ของผู้ใช้งานสมาร์ทโฟน Android ก็มีด้วยเช่นกันคือสามารถเลือกได้ว่าจะเอาแอพมาติดตั้งบนตัวนาฬิกาโดยตรง (อาจจะเลือกโหลดแอพที่มีการประยุกต์การทำงานบนหน้าปัดนาฬิกา) หรือเลือกเอาแอพไปติดตั้งบนมือถือและทำงานร่วมกับนาฬิกาในตอนที่จับคู่ (อาจจะเลือกแอพที่เกี่ยวข้องกับการแจ้งเตือนต่างๆ)
สำหรับการเรียกดูหรือค้นหารายชื่อแอพอย่างสะดวกก็สามารถไปที่เว็บไซต์ Google Play บนเดสก์ท็อปและเลือกหมวดหมู่ Android Wear จากนั้นก็เลือกแอพที่ต้องการและกดปุ่มติดตั้งได้ทันที
5. Google Fit แอพด้านสุขภาพที่ดีขึ้นกว่าเดิม
ตอนนี้ Google ก็ตีโจทย์แตกแล้วว่าอะไรคือสิ่งที่ผู้คนคาดหวังบนสมาร์ทวอทซ์ ซึ่งสิ่งที่ว่าก็คือฟีเจอร์ที่สำคัญมากอย่าง Google Fit แอพเพื่อสุขภาพที่สามารถติดตามการออกกำลังกาย ให้ข้อมูลคำแนะนำที่น่าสนใจ แสดงกิจกรรมที่ท้าทายผู้ใช้งาน แสดงภาพเคลื่อนไหวประกอบ โดยทำงานร่วมกับเซ็นเซอร์ต่างๆ ที่มีอยู่ภายในสมาร์ทวอทซ์
6. เซ็นเซอร์ที่มีตัวเลือกมากกว่าเดิม
ผู้ผลิตนาฬิกาจะมีตัวเลือกสำหรับการเชื่อมต่ออุปกรณ์ Android Wear 2.0 มากกว่า 1 ทาง โดยพื้นฐานแล้วสมาร์ทวอทซ์ทุกรุ่นจะมี Bluetooth แต่บางรุ่นก็มี Wi-Fi, LTE, GPS, NFC และเซ็นเซอร์วัดอัตราการเต้นหัวใจ ซึ่ง Google เผยว่า Android Wear 2.0 จะเลือกการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตที่ดีที่สุดให้อัตโนมัติขึ้นอยู่กับสถานการณ์ บางครั้งก็เป็น Bluetooth จากสมาร์ทโฟน บางครั้งก็อาจจะเป็น 4G LTE จากสมาร์ทวอทซ์
7. การส่งข้อความ
การตอบกลับข้อความเป็นอีกไฮไลท์หนึ่งของสมาร์ทวอทซ์ที่ Google ได้ปรับปรุงมาให้ใช้งานใน Android Wear 2.0 โดยผู้ใช้งานสามารถแตะปุ่มตอบข้อความกลับในหน้าการแจ้งเตือนได้ นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ "Smart Reply" หรือตัวเลือกข้อความตอบกลับที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาแบบไม่ต้องเสียเวลาพิมพ์เอง แต่ถ้าหากจะพิมพ์ข้อความตอบกลับด้วยตัวเองก็ทำได้โดยจะมีแป้นคีย์บอร์ดโผล่ขึ้นมาให้ใช้งาน สามารถส่งข้อความเสียงและอีโมจิตอบกลับไปได้
ทำนายเบอร์มือถือ เบอร์สวย เบอร์มงคล
รับซื้อมือถือ รับเครื่องถึงบ้าน
บูลอาเมอร์ ฟิล์มกระจกกันรอยมือถือ
ที่มา : www.theverge.com วันที่ : 9 กุมภาพันธ์ 2560
Blackview Active 10 Pro มาแล้ว! แท็บเล็ต 5G แบตฯ อึด กล้องเทพ ลดแรงแค่ 7 วันเท่านั้น!
Motorola ก้าวสู่ยุคใหม่แห่ง AI ด้วย Moto AI และ Smart Connect
Redmi Watch 5 สมาร์ทวอทช์รุ่นแรกรันบน HyperOS 2 หน้าจอสี่เหลี่ยม AMOLED กว้าง 2.07 นิ้ว
รีวิว vivo Watch 3 ฟีเจอร์ครบครัน สวยทันสมัย เอาใจคนรักสุขภาพ
พลิกโฉมการทำงานด้วย AI Copilot บน Microsoft 365 Personal และ Family
Microsoft พลิกโฉม Paint และ Notepad ด้วย AI สร้างสรรค์และปรับแต่งได้ดั่งใจ
Motorola ก้าวสู่ยุคใหม่แห่ง AI ด้วย Moto AI และ Smart Connect
ทำความรู้จัก TECNO SPARK 30C หน้าจอ 120Hz ทนน้ำทนฝุ่น IP54 ลำโพงสเตอริโอ มีชาร์จเร็ว
HONOR X9c Smart สมาร์ทโฟนกล้องหลังคู่ 108MP ชิปเซ็ต Dimensity 7025-Ultra
เปิดตัว HUAWEI FreeBuds Pro 4! หูฟังไร้สายรุ่นแรกที่ใช้ HarmonyOS NEXT
HMD Fusion สมาร์ทโฟนที่สามารถปรับแต่งและซ่อมเองได้ด้วยมือคุณ!
รีวิว HONOR 200 Smart 5G คุ้มค่าเกินราคา สุดยอดสมาร์ทโฟนสำหรับคนชอบลุย13 ชั่วโมงที่แล้ว