หากกล่าวถึง Siri เชื่อว่าเหล่าสาวก Apple ต้องคุ้นเคยกันมาเป็นอย่างดี เพราะแอปฯ นี้อยู่คู่กับเรามาเป็นระยะเวลา 4 ปีแล้ว นับตั้งแต่วันที่ Steve Job เปิดตัว iPhone 4S ออกมาเมื่อปี.ค.ศ. 2011 ซึ่งถือว่าเป็นการสร้างมิติใหม่แห่งวงการโทรศัพท์มือถือ ที่ผู้ใช้งานจะสามารถใช้คำสั่งเสียงสั่งการ หรือหากสงสัยอะไรก็จะเป็นเหมือนผู้ช่วยของเรา เพื่อตอบคำถามไขข้องสงสัย
ซึ่งการเปิดตัว iPhone 4S ครั้งนั้นก็สร้างความผิดหวังให้กับใครหลายคนที่ตั้งตารอ โดยหวังว่าจะมีอะไรใหม่ๆ มากกว่าเดิม แต่มันกลับไม่เป็นแบบนั้น เพราะไม่ว่าจะเป็นขนาดหน้าจอ, ดีไซน์, หรือหน่วยประมวลผลไม่แตกต่างกันเท่าไรนัก ทว่าสิ่งหนึ่งที่กลับกลายเป็นเซอร์ไพรส์ของรุ่นดังกล่าวก็คือ "Siri" แอปฯ ที่จะเปลี่ยนโลกของการใช้โทรศัพท์มือถือไปเลย
ก่อนจะไปดูว่า Siri ทำอะไรได้บ้าง เรามาดูกันว่าเธอคนนี้มีที่มาที่ไปอย่างไร แล้วทำไมถึงต้องใช้ชื่อนี้กันนะ และเพราะอะไร iPhone 4 ถึงไม่ได้ใช้งานแอปฯ ดังกล่าว...?
ประวัติ และความเป็นมาของ Siri คือย้อนกลับไปปีค.ศ. 2003 มีงานวิจัยในชื่อ CALO project (Cognitive Assistant that Learns and Organizes) ซึ่งมีการร่วมมือกับหลายหน่วยงานโดยไม่หวังผลกำไรชื่อว่า SRI International และบริษัท DARPA โดยมีจุดประสงค์คือต้องการสร้างระบบปัญญาประดิษฐิ์ (artificial intelligence) ให้เป็นจริงขึ้นมา
และขณะนั้นก็ได้พัฒนาแอปฯ Siri ออกมาเป็นผลสำเร็จ โดยมาพร้อมความสามารถอัจฉริยะคือใช้ภาษาของเรา (มนุษย์) โต้ตอบกับเราอย่างเป็นธรรมชาติ (Natural Language User Interface) ซึ่งจะทำงานเสมือนเป็นผู้ช่วยส่วนตัว (Intelligent Personal Assistant) คอยตอบคำถามให้กับเรานั่นเอง
แล้วทำไมถึงต้องตั้งชื่อว่า Siri กัน....โดยคำดังกล่าวมีพื้นฐานมาจากภาษานอร์เวย์ ให้ความหมายว่า "หญิงสาวสวยที่จะนำคุณไปสู่ชัยชนะ" (Beautiful Woman Who Leads You To Victory) ซึ่งที่มาของชื่อดังกล่าวมาจากนาย Dag Kittalaus ผู้ร่วมพัฒนาสิริขึ้นมา โดยอธิบายว่า เขานั้นเคยทำงานกับหญิงสาวรายหนึ่งนามว่า Siri และเขาก็ต้องการนำมาตั้งชื่อให้กับลูกสาว ประกอบกับโดเมนเนมในขณะนั้นก็ว่าง อีกทั้งยังเป็นชื่อที่จดจำได้ง่าย แต่สุดท้ายก็เป็นเรื่องผิดหวังไป เพราะเขานั้นดันได้ลูกชายแทน
So Siri means in Norwegian, "beautiful woman who leads you to victory".
4 ปี ต่อมาได้จัดตั้งขึ้นเป็นบริษัท Siri ซึ่งตั้งชื่อตามผลิตภัณฑ์หลักของตนเองในขณะนั้น และด้วยความสามารถของมัน ที่สามารถทำงานร่วมกับฟีเจอร์ และฟังก์ชั่นอื่นๆ ได้อย่างลงตัว ทำให้กลายเป็นบริษัทเนื้อหอมในระยะเวลาอันรวดเร็ว
แน่นอนว่าเมื่อมีสิ่งประดิษฐิ์สุดลํ้า Steve Jobs ก็ไม่พลาดจะนำมาเป็นส่วนหนึ่งของบริษัทตนเอง เพราะเขาเชื่อว่าโลกอนาคตของโทรศัพท์มือถือ มันจะไม่หยุดอยู่ที่การใช้งานด้วยมือเท่านั้น แต่ไม่ว่าจะเป็นเสียง, การเคลื่อนไหว, สายตา ก็สามารถสั่งการได้เหมือนกัน
ดังนั้น Jobs จึงตัดสินใจเข้าซื้อบริษัท Siri ทันที โดยการเข้าซื้อกิจการเกิดขึ้นในเดือนเมษายน ปีค.ศ. 2010 ซึ่งเข้าซื้อเป็นเงินมากถึง $200 million และเขาก็ตั้งใจว่าจะนำระบบ Siri มาพัฒนาให้เป็นเหมือนสัญลักษณ์ของ iPhone ต่อไป
ซึ่งก็มีเรื่องเล่าของ CEO Kittalaus ว่าทำไมเขาถึงตัดสินใจขายกิจการให้กับ Steve Jobs ทั้งที่สามารถเติบโตได้ด้วยตนเอง..?
ในขณะนั้น Kittalaus หลังจากพัฒนาแอปพลิเคชั่นสำเร็จ ก็ได้นำแอปฯ Siri ลงใน Apple Store ในเวลาต่อมา และก็ยังมีแผนจะพัฒนาให้รองรับการใช้งานในระบบปฏิบัติการ Blackberry และแอนดรอยด์ แต่ 3 อาทิตย์ต่อมาเขา (Kittalaus) ก็ได้รับโทรศัพท์จากบริษัท Apple ว่า "Scott Forstall" ต้องการจะคุยด้วย และเขาก็ตอบตกลง
Mr.Dag Kittalaus
วันต่อมาเขาก็ขับรถไปบ้านของ "Scott Forstall" แต่กลายเป็นบ้านของ Jobs แทน และทั้งคู่ก็ใช้เวลานั่งคุยกัน 3 ชั่วโมงหน้าเตาผิง เกี่ยวกับอนาคตของบริษัทเราทั้งคู่ จ็อบส์ได้อธิบายว่า Apple และ Siri จะกลายเป็นคู่หูกันได้อย่างไร พร้อมทั้งสามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้ขนาดไหน และเขา (Kittalaus) เห็นว่าจ็อบส์นั้นเอาจริง เอาจังกับเรื่องนี้มาก ดังนั้นจึงตัดสินใจขายกิจการให้กับเขา (จ็อบส์) ในที่สุด
And he wanted me to come over to his house the next day, and I did, and I spent 3 hours with him in front of his fireplace having this surreal conversation about the future.
และเขาก็ยังเล่าว่าเมื่อ Apple เข้าซื้อกิจการในปีค.ศ. 2010 ทาง Jobs ก็ยังไม่ถูกใจชื่อ Siri เขาจึงพยายามคิด และค้นหาชื่อที่ดีกว่านี้ แต่ก็ไม่สามารถหาชื่อได้เลย และตั้งแต่นั้นมา Siri ก็ถูกเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งกับ iPhone และ iPad ทุกรุ่นเรื่อยมา
โดยวันเกิดของสิริก็คือ "วันที่ 4 ตุลาคม ปีค.ศ. 2011" ซึ่งตรงกับวันที่ Apple เปิดตัว iPhone 4S ออกมา และถึงตอนนี้ก็มีอายุ 3ปี 6 เดือนแล้ว อย่างไรก็ตามเราเคยสงสัยกันไหมว่าเจ้าของเสียงนั้นคือใครกันบ้าง..?
ผู้ที่อยู่เบื้องหลังเสียงของ Siri แบบต้นฉบับคือใครกัน..?
สำนักข่าว CNN เชิญ "Susan Bennett" มาให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับ Siri โดยเธอบอกว่า ก่อนจะมาให้สัมภาษณ์ก็มีหลายคนบอกกับเธอว่า ทำไมเสียงของเธอช่างเหมือนกับ Siri เหลือเกิน และยิงคำถามต่างๆ ใส่ฉันเสมอเวลาที่ได้ยินฉันพูด
แต่เธอระบุว่าแม้แต่ตัวเธอเองก็ไม่มั่นใจว่าเสียงของ Siri นั้นคือเธอเอง เพราะทาง Apple ไม่ได้ยืนยันมาว่าเธอคือเจ้าของเสียง ทว่าทาง CNN ก็เชิญผู้เชี่ยวชาญด้านการวิเคราะห์เสียงประสบการณ์ทำงานมากกว่า 30 ปี มาเทียบเคียง และผลสุดท้ายเธอคือเจ้าของเสียงแท้จริง 100%
ขอบคุณคลิปกระกอบเนื้อหาบทความจาก CNN
ต่อมาเธอก็เล่าว่าจุดเริ่มต้นของ "Siri" เกิดขึ้นเมื่อปีค.ศ. 2005 บริษัท ScanSoft ต้องการหาเสียงพูดสำหรับโปรเจคชิ้นใหม่ จึงสอบถามไปยังบริษัท GM voices โดยถือเป็นบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญการตอบสนองอัตโนมัติด้วยเสียง ทาง GM voices จึงแนะนำ Bennett เพราะเธอมีผลงานที่โดดเด่น เลยเสนอชื่อให้กับ ScanSoft และการเซ็นสัญญาก็เกิดขึ้นในปีนั้นเอง
โดยเธอระบุต่อไปอีกว่า การทำงานของเธอต้องอัดเสียงเป็นระยะเวลา 4 ชั่วโมงต่อวัน ซึ่งต้องอ่านวลี และประโยคตามบทพูดของพวกเขา เพื่อที่จะดึงสระ, พยัญชนะ, พยางค์ หรือเสียงควบออกมา และจะถูกปะติดปะต่อกันเป็นคำ เป็นประโยค
และเดือนตุลาคม 2005 บริษัท ScanSoft ก็ถูกเข้าซื้อกิจการโดย Nuance Communications ซึ่งเป็นผู้พัฒนาเทคโนโลยีการสั่งการด้วยเสียงให้กับ Apple นั่นเอง อย่างไรก็ตามทั้งสองบริษัทก็ไม่มีความเห็นใดๆ ออกมาหลังจากการสัมภาษณ์เสร็จสิ้น
สุดท้ายเหล่าสาวกก็ยังมีความสงสัยว่าทาง Apple ทำไมไม่เอา Siri ลงใน iPhone 4 แต่กลับมาเปิดตัวใช้งานเป็นทางการในรุ่น 4S กัน โดยได้มีการคลายความสงสัยจากเว็บไซต์ CNET ว่า ชิปเซ็ตของ 4S นั้นมีประสิทธิภาพมากกว่ารุ่น iPhone 4 เพราะชิปเซ็ต A5 มีระบบตัดเสียงรบกวนดีกว่า และ Jobs ต้องการแน่ใจว่ามันจะไม่มีข้อผิดพลาดใดๆ เกิดขึ้นกับผลิตภัณฑ์ของเขาตามมาภายหลัง
นับได้ว่าบริษัท Apple ภายใต้การบริหารของ Jobs ถือว่ามีอะไรที่น่าแปลกใจอยู่เสมอ รวมถึงฝีมือการบริหาร และการสะกดผู้ฟังให้รู้สึกตื่นเต้นทุกครั้งในงานเปิดตัว อีกทั้งยังนำแอปฯ แห่งอนาคตเข้ามาสู่บริษัท ซึ่งสุดท้ายการทำงานร่วมกันระหว่างสมาร์ทโฟน และผู้ช่วยชาญฉลาด "Siri" จะเป็นอย่างไรต่อไป เราคงต้องติดตามกัน
ขอบคุณคลิปวิดีโอประกอบเนื้อหาบทความจาก EveryAppleAd
ทำนายเบอร์มือถือ เบอร์สวย เบอร์มงคล
รับซื้อมือถือ รับเครื่องถึงบ้าน
บูลอาเมอร์ ฟิล์มกระจกกันรอยมือถือ
วันที่ : 19 เมษายน 2562
รีวิว Apple iPad mini 7 ควรอัปเกรดไหม? แตกต่างจาก iPad mini 6 อย่างไร!
Apple จัดโปรโมชั่น Black Friday และ Cyber Monday ปี 2024 ลดสูงสุด 6,800 บาท
Apple ปรับลดราคา iPhone รุ่นไหนบ้าง! แล้ว iPhone รุ่นไหนเลิกขาย?
เมื่อ Apple นำเทรนด์ ปุ่มควบคุมกล้องบนสมาร์ทโฟนจะกลายเป็นมาตรฐานใหม่?
Infinix ปล่อยเซอร์ไพรส์ HOT 50 Pro+ Series สีสันพิเศษ ต้อนรับเทศกาลแห่งความสุข
iQOO 13 5G เจ้าของความแรง Snapdragon Elite 8 + RAM สูงสุด 16GB เคาะราคาในไทย 27,900 เท่านั้น
Blackview Active 10 Pro มาแล้ว! แท็บเล็ต 5G แบตฯ อึด กล้องเทพ ลดแรงแค่ 7 วันเท่านั้น!
Redmi A4 5G หน้าจอ 120Hz ดีไซน์พรีเมียมมากขึ้น ชิปเซ็ต Snapdragon 4s Gen 2 เล่นเกมเพลิน
Samsung Galaxy S25 Slim สุดยอดกล้องระดับไฮเอนด์ในตัวเครื่องที่บางเฉียบ
Redmi ฉลอง 11 ปี ปล่อยโลโก้ใหม่! พร้อมเปิดตัว Redmi K80 เรือธงสเปคจัดเต็ม
Redmi Watch 5 สมาร์ทวอทช์รุ่นแรกรันบน HyperOS 2 หน้าจอสี่เหลี่ยม AMOLED กว้าง 2.07 นิ้ว