เรียกได้ว่าในปัจจุบันคงไม่มีใครไม่รู้จักบริษัทยักษ์ใหญ่แห่งประเทศสหรัฐอเมริกานามว่า "Apple" กันอย่างแน่นอน ซึ่งถือว่าเป็นบริษัทที่มีแบรนด์ และผลิตภัณฑ์ครองใจผู้บริโภคมาตลอดเวลาเช่นเครื่องเล่นเพลง, สมาร์ทโฟน, แฟบเล็ต หรือแท็บเล็ต แม้แต่คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ iMac แต่ได้เคยสงสัยกันไหมว่าทำไมบริษัท Apple จึงเลือกใช้ผลแอปเปิ้ลเป็นโลโก้ของบริษัท รวมถึงมันมีที่มาที่ไปอย่างไร และมีวิวัฒนาการของแบรนด์แบบใดบ้าง
บริษัท Apple เริ่มก่อตั้งปีค.ศ. 1976 โดยผู้ก่อตั้ง 3 คนคือ Steven Paul Jobs, Steve Wozniak และ Ronald Wayne ซึ่งก่อนใช้ชื่อบริษัทนี้ เดิมทีตั้งชื่อบริษัทว่า Apple Computer Inc. ผู้ก่อตั้งคือ Jobs กับ Wayne โดยทำธุรกิจเกี่ยวกับการเป็นผู้ผลิต และผู้จัดจำหน่ายเครื่องคอมพิวเตอร์ ทว่าจุดเริ่มต้นของพวกเขาก็สามารถเป็นแรงบันดาลใจให้กับใครอีกหลายคน เพราะคอมพิวเตอร์เครื่องแรกถูกผลิตออกมาจากโรงรถ ซึ่งก็ไม่ได้เป็นคอมพิวเตอร์สมบูรณ์แบบมากนัก และในเวลาต่อมาเมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป ก็ได้กลายมาเป็นบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ของโลก!!
ซึ่งก่อนจะมาเป็นบริษัทนิติบุคคล นั้นยังไม่มีโลโก้ หรือแบรนด์แต่อย่างใด ดังนั้นจึงเกิดคำถามขึ้นระหว่างทั้งสองคนว่าจะเลือกใช้โลโก้อะไรเป็นตัวแทนของบริษัท สุดท้ายก็มาลงเอยที่ผลแอปเปิ้ล แต่ก่อนที่จะมาเป็นแอปเปิ้ล มันก็ได้มีเรื่องเล่าถึงที่มาของผลแอปเปิ้ลอยู่เหมือนกัน ว่าแต่มันคือเรื่องอะไรมาดูกัน..?
เรื่องแรกมาจากผู้ก่อตั้งของบริษัททั้ง 2 คนคือ Steve Jobs และ Steve Wozniak ที่ชอบไปนั่งปรึกษาหารือกันในฟาร์มแอปเปิ้ล ประกอบกับสตีฟ จอบส์เป็น Fruitarian (การรับประทานผลไม้เป็นหลัก) และชอบรับประทานแอปเปิ้ล ด้วยความเชื่อว่าเมื่อทานแล้วจะไม่มีกลิ่นตัว ทำให้เขาไม่ต้องอาบนํ้า ส่งผลให้มีเวลาทำงานได้มากขึ้น ซึ่งตอนที่เขาได้กลับมาจากฟาร์ม ระหว่างทางได้นึกถึงแบรนด์ที่เมื่อฟังดูแล้วมีความสนุก, มีจิตวิญาณ และไม่รุนแรง จึงกลายเป็นที่มาของสัญลักษณ์ "Apple" ไปโดยปริยาย (อ้างอิงจาก MIT newspaper)
Wozniak said, “After trying to think of better and more technical names, both Jobs and I realized that Apple was a good fit,”
เรื่องที่สองเนื่องจากในขณะนั้นบริษัทคอมพิวเตอร์ชื่อดังอย่าง IBM และ Atari ได้ถือครองส่วนแบ่งทางการตลาดสูง ดังนั้น Steve Jobs จึงคิดว่าจะทำอย่างไรให้ผู้คนที่ต้องการซื้อผลิตภัณฑ์ทางคอมพิวเตอร์ได้นึกถึงบริษัทของตนเองก่อนเป็นอันดับแรก เพราะเขาเชื่อว่าเมื่อค้นหาเป็นตัวอักษร Apple จะขึ้นโชว์ก่อนบริษัททั้งสอง
he said: "Because it came before Atari in the phone book." Jobs worked for Atari before starting Apple and he also said that he likes apples and that they had to come up with a name by 5 o'clock that day.
เรื่องที่สามคือ Steve Jobs เป็นผู้ที่รักในเสียงดนตรี พร้อมทั้งชื่นชอบความสำเร็จของพวกเขาทั้ง 4 คน โดยเขานั้นได้ชื่นชอบการฟังเพลงวง “The Beatles” ซึ่งมีโลโก้แอปเปิ้ลอยู่บนปกแผ่นเพลง ซึ่งแอปเปิ้ลดังกล่าวคือบริษัท Apple Record นั่นเอง จึงเกิดเป็นความคิดว่าจะนำผลแอปเปิ้ลมาเป็นโลโก้ซะเลย
My model for business is the Beatles. They were four guys who kept each other's kind of negative tendencies in check. They balanced each other, and the total was greater than the sum of the parts. That's how I see business: Great things in business are never done by one person. They're done by a team of people.
เรื่องที่สี่เกี่ยวกับความเชื่อตามตำนานของคัมภีร์ไบเบิ้ลของมนุษย์คู่แรกของโลกระหว่าง Adam และ Eve ที่ได้รับพรจากเทพเจ้าให้มีชีวิตเป็นอมตะ ไม่มีการเจ็บป่วยอาศัยอยู่ ณ สวนอีเดน แต่มีข้อห้ามว่าอย่ารับประทานผลไม้ที่อยู่ตรงกลางสวน ทว่าทั้งคู่ก็โดนยุโยง สุดท้ายอีฟก็ได้ฝ่าฝืนคำสั่ง และรับประทาน พร้อมเชื้อชวนให้อดัมทาน จึงทำให้ทั้งคู่เกิดปัญญาขึ้น และมีพลังดังเทพเจ้า ด้วยเหตุนี้ Steve Jobs จึงคิดว่าผลแอปเปิ้ลคือ "ผลไม้แห่งความรู้" และ"ผลไม้แห่งพลัง" ซึ่งก็ได้นำมาตั้งชื่อบริษัทตามความเชื่อนั่นเอง
อย่างไรก็ตามเรื่องราวของผล Apple นั้นก็ยังไม่ระบุแน่ชัดว่ามีที่มาที่ไปอย่างไรกันแน่ ซึ่งทั้งสองคนเมื่อโดนสัมภาษณ์เกี่ยวกับคำถามนี้ ว่าทำไมถึงต้องตั้งชื่อบริษัทว่าแอปเปิ้ล ซึ่งคำตอบก็ไม่ได้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน แต่คำถามสำคัญก็คือทำไมผลของแอปเปิ้ลที่นำมาเป็นโลโก้ของบริษัท ต้องมีรอยแหว่ง..?
เดิมทีโลโก้ของ Apple นั้นไม่ได้มีรอยแหว่งแต่อย่างใด แต่เกิดจากความเชื่อว่า Isaac Newton บิดาแห่งทฤษฏีแรงโน้มถ่วง ที่สามารถคิดกฏเหล่านี้ได้จากการนั่งมองผลแอปเปิ้ลตกจากต้น ส่งผลให้กลายมาเป็นทฤษฏีเปลี่ยนโลกในขณะนั้น และเป็นจุดเริ่มต้นให้กับสิงประดิษฐิ์มากมายในเวลาต่อมา
สำหรับประโยคดังกล่าวได้มาจากนวนิยายโรแมนติกของนักประพันธ์ William Wordsworth
โลโก้ดังกล่าวออกแบบโดย Ronald Wayne
ด้วยเหตุนี้ Steve Jobs จึงถือเป็นความเชื่อว่าผลไม้อย่างแอปเปิ้ลยังสามารถเปลี่ยนโลกได้ ดังนั้นบริษัทของเขาก็เช่นกัน จึงได้สร้างโลโก้ของเขาขึ้นมาเอง ทว่ามันก็ไมได้เป็นโลโก้ธรรมดา แต่ยังมีประโยคหนึ่งที่น่าสงสัยใส่ลงไปด้วย เพื่อจุดประสงค์อะไรกันแน่ “Newton… A Mind Forever Voyaging Through Strange Seas of Thought … Alone.” จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่มีใครรู้
และในปีถัดมาปีค.ศ. 1977 ผู้ร่วมก่อตั้ง Ronald Wayne ได้ถอนหุ้นออกจากบริษัท และขายหุ้นทั้งหมดให้กับ Jobs และ Wayne พร้อมทั้งตัดชื่อ Computer Inc. ออกเพื่อต้องการให้บริษัท ไม่เป็นเพียงแต่ทำธุรกิจคอมพิวเตอร์ แต่ต้องการเป็นบริษัทเทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่ของโลก อีกทั้งบริษัทกำลังจะวางขายผลิตภัณฑ์ตัวที่สองคือ Apple II เครื่องคอมพิวเตอร์จอสี ดังนั้นจ๊อบส์จึงถือโอกาสปรับเปลี่ยนโลโก้ของบริษัท เพื่อให้สามารถสื่อถึงผลิตภัณฑ์ได้มากที่สุด รวมถึงเข้ากับยุคสมัยที่เปลี่ยนไป และให้ผู้คนจดจำได้ง่ายที่สุด
โดยจ๊อบส์ได้ให้ดีไซน์เนอร์ของบริษัทนามว่า Rob Janoff ในการออกแบบโลโก้ใหม่ให้มีความทันสมัย น่าจดจำ โดย Janoff ได้ออกแบบมาเพียงผลของแอปเปิ้ลเท่านั้น ซึ่งเมื่อมองดูก็ไม่สามารถแยกแยะออกได้ว่ามันคือผลส้ม, ผลมะเขือเทศกันแน่ เขาจึงได้เพิ่มลูกเล่นเข้าไปคือรอยกัด เมื่อพิจารณาดูแล้วมันละม้ายคล้ายผลของแอปเปิ้ลที่โดนกัดไป ซึ่งเขาได้แนวความคิดจากคำว่า Byte ในภาษาของคอมพิวเตอร์ ซึ่งสอดคล้องกับคำว่ากัด "Bite" นั่นเอง
อย่างไรก็ตามการเลือกใส่สีสันต่างๆ นั้น Janoff กล่าวว่าเขา (จ๊อบส์) ไม่มีเหตุผลใดๆ เพียงแต่ต้องการให้บริษัทดูราวกับมีชีวิต โดยผ่านการแสดงสีสันสดใสที่อยู่บนโลโก้เท่านั้น แต่เขาต้องการแค่ให้ด้านบนเป็นสีเขียว เพราะมันสามารถสื่อถึงใบไม้ ซึ่งสุดท้ายก็ออกมาเป็น...?
Janoff explained, that there is no story behind that. He did, however, note that he wanted green to be at the top "because that's where the leaf was."
และการเปลี่ยนแปลงของโลโก้เกิดขึ้นอีกครั้ง เมื่อปี. ค.ศ. 1998 เขาได้กลับมากู้วิกฤตของบริษัทหลังจากยอดขายตกตํ่า และมีหนี้สิน ซึ่งเขาทำการเปลี่ยนโลโก้ใหม่ ด้วยแนวคิดว่าแอปเปิ้ลหลากหลายสีสันไม่สามารถเข้ากับโฆษณา และผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ จึงเอาสีสันออก และเหลือเพียงสีดำ
ในเวลาต่อมาเมื่อบริษัท Apple ตั้งตัวได้ ก็กว้านซื้อบริษัทต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับบริษัทตนเอง มาเป็นบริษัทย่อยพร้อมกับพัฒนาซอฟต์แวร์ให้สามารถใช้งานร่วมกับผลิตภัณฑ์ของตนเองได้อย่างหลากหลาย โดยใช้โลโก้รูปแบบใหม่ในการโฆษณา
ซึ่งในปัจจุบันเมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไปจึงได้ออกแบบโลโก้ให้มีความทันสมัย ดูเป็นเอกลักษณ์ หรูหรามากขึ้น และเพื่อสอดคล้องกับผลิตภัณฑ์ของบริษัทนั่นเอง
อย่างไรก็ตามบริษัท Apple สามารถเดินตามความฝันได้สำเร็จ โดยเป็นผู้ปฏิวัติวงการโทรศัพท์มือถืออย่างเต็มตัว ในช่วงปีค.ศ. 2007 กับสมาร์ทโฟนสุดลํ้าอย่าง iPhone แต่ก็อย่าลืมว่ากว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ต้องพากเพียร และพยายามไขว่คว้าทุกโอกาสที่มีเข้ามา ซึ่งก็ถือเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างได้เลยทีเดียว
ทำนายเบอร์มือถือ เบอร์สวย เบอร์มงคล
รับซื้อมือถือ รับเครื่องถึงบ้าน
บูลอาเมอร์ ฟิล์มกระจกกันรอยมือถือ
วันที่ : 9 มีนาคม 2558
ลือ! iPhone 17 และ iPhone 17 Air ยังไม่มีซูม Optical 5x ฟีเจอร์นี้มีเฉพาะรุ่น Pro
รีวิว Apple iPad mini 7 ควรอัปเกรดไหม? แตกต่างจาก iPad mini 6 อย่างไร!
Apple จัดโปรโมชั่น Black Friday และ Cyber Monday ปี 2024 ลดสูงสุด 6,800 บาท
Apple เปิดตัวฟีเจอร์ Genmoji ใน iOS 18.2 สร้างอิโมจิแบบใหม่ที่ไม่เหมือนใครด้วย AI บน iPhone
เปิดตัว HUAWEI FreeBuds Pro 4! หูฟังไร้สายรุ่นแรกที่ใช้ HarmonyOS NEXT
OPPO Find X8 Series สมาร์ทโฟนแฟลกชิปพลัง AI ซูมไกล 120 เท่า ด้วย AI Telescope Zoom
ทำความรู้จัก TECNO SPARK 30C หน้าจอ 120Hz ทนน้ำทนฝุ่น IP54 ลำโพงสเตอริโอ มีชาร์จเร็ว
Redmi Watch 5 สมาร์ทวอทช์รุ่นแรกรันบน HyperOS 2 หน้าจอสี่เหลี่ยม AMOLED กว้าง 2.07 นิ้ว
สรุปจุดเด่นและสเปค OPPO Pad 3 Pro หน้าจอ 144Hz ชิปเซ็ต Snapdragon 8 Gen 3 ลำโพง 8 ตัว แบตฯ 9510mAh